ปัญหาสุขภาพภายในของผู้หญิงมีมากมายและใกล้ตัวกว่าที่คิด หากดูแลสุขอนามัยไม่ดีก็อาจเกิดอาการผิดปกติได้ง่าย ๆ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกปัญหา
เชื้อราในช่องคลอดว่าเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร และจะรับมือได้อย่างไร เพราะหากปล่อยทิ้งเอาไว้ ปัญหาที่ใครหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก อาจก่อให้เกิดโรคร้ายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้อย่างคาดไม่ถึง!
รู้จักเชื้อราในช่องคลอด เกิดจากอะไรกันแน่? เชื้อราในช่องคลอดถือเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้หญิงทั่วโลก สาเหตุหลักเกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินไปของเชื้อราธรรมชาติที่อยู่ในช่องคลอด พบมากถึง 3 ใน 4 ของผู้หญิง และผู้หญิงหลายคนก็เจอปัญหานี้มากกว่า 2 ครั้ง ไม่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การมีเพศสัมพันธ์อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการติดเชื้อราได้ โดยเชื้อราในช่องคลอดที่พบได้บ่อยที่สุดได้แก่ Candida Albicans และ Candida Grabata ซึ่งทั้ง 2 ชนิดถือเป็นเชื้อที่สามารถยึดติดกับเซลล์บุช่องคลอดได้ดี โดยส่วนมาก เชื้อราในช่องคลอดมักเกิดจากสาเหตุเหล่านี้
- การใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อแบคทีเรียดีในช่องคลอดถูกทำลาย
- ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การตั้งครรภ์ การทานยาคุมกำเนิด และการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด
- เป็นโรคเบาหวานและไม่ได้รับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- เป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ติดเชื้อ HIV หรือได้รับการบำบัดด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
อาการของภาวะเชื้อราในช่องคลอด การมีภาวะเชื้อราในช่องคลอดอาจแสดงอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยอาการที่มักพบส่วนใหญ่ ได้แก่
- อาการคันหรือระคายเคืองทั้งบริเวณปากช่องคลอดและภายในช่องคลอด
- รู้สึกเจ็บ แสบ หรือปากช่องคลอดมีอาการบวมแดง
- รู้สึกแสบร้อนขณะมีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะ
- เกิดผื่นแดงที่อวัยวะเพศ
- ตกขาวมีลักษณะผิดปกติ เป็นสีขาวข้น หรือเป็นน้ำ แต่ไม่มีกลิ่น
หากมีอาการเหล่านี้ แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการซักประวัติ ตรวจภายใน และเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากช่องคลอดเพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการอีกครั้งว่าใช่ภาวะเชื้อราในช่องคลอดหรือไม่ โดยสามารถรักษาได้ด้วยยาทาหรือยาเหน็บ และยาแบบทาน ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
วิธีป้องกันภาวะเชื้อราในช่องคลอด เมื่อรู้แล้วว่าเชื้อราในช่องคลอดเกิดจากอะไร และมีอาการอย่างไร ก็ต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับวิธีป้องกันด้วย ซึ่งวิธีลดความเสี่ยงการติดเชื้อราในช่องคลอดสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
- ทานอาหารที่มีแลคโตบาซิลัส ช่วยรักษาสมดุลกรด-ด่างในช่องคลอด
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด เพราะเป็นการทำลายแบคทีเรียดีตามธรรมชาติ
- เปลี่ยนผ้าอนามัยและแผ่นอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันความอับชื้น
- ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
- หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นเป็นเวลานาน