ในตอนวัยที่จะต้องรับศึกหนักจากปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสังคมรอบด้าน อีกทั้งแรงกดดันจากหน้าที่การงานอันหนัก สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ลดน้อย และก็ภาพลักษณ์ที่การเปรียบเทียบจากสังคม หลอมรวมคือปัญหาด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพที่พร้อมจะรัวหมัดเข้าใส่ไม่ยั้ง ไม่เพียงแค่ทางด้านร่างกาย แม้กระนั้นจิตใจที่ขับความนึกคิดและก็ความรู้สึกข้างในก็สามารถป่วยได้เหมือนกัน ตอนนี้มีชาวไทยจำนวนมากพบเห็นกับวังวนที่ความตึงเครียดจนถึงสะสมคือปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นกับจิตที่ตกต่ำ โดยยิ่งไปกว่านั้นวัยทำงานอย่างมนุษย์ที่ทำงานทั้งหลายแหล่
ซึ่งปัญหาด้านสุขภาพจิตที่คนทำงานออฟฟิศบางทีอาจจำเป็นต้องพบเจอนั้น มีอะไรบ้างที่คนทำงานในออฟฟิศวัยทำงานและก็เพื่อนฝูงร่วมสำนักงานพึงสังเกต พวกเราได้สะสมข้อมูลมาฝากไว้ตรงนี้แล้ว
5 ปัญหาด้านสุขภาพจิต ที่คนทำงานออฟฟิศต้องระวัง
1. เครียดสะสม
การใช้ชีวิตบนความเครียด แรงกดดัน รวมทั้งมีความมุ่งมาดสูง 5-6 วันต่ออาทิตย์ มักเป็นต้นเหตุของอาการเครียดสะสม หนึ่งในปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่ผู้คนจำนวนมากเป็นแต่ว่าไม่รู้ตัว กล่าวได้ว่ารู้สึกตัวอีกครั้งก็บางทีอาจมีผลเสียต่อการทำงานแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างไปแล้ว พิจารณาได้จากความประพฤติที่แปรไปทั้งยังด้านอารมณ์และก็การใช้ชีวิต อย่างเช่น นอนไม่หลับ ตื่นเวลากลางดึก นิ่งอึ้ง หมดอาลัยตายอยาก หม่นหมอง ความปรารถนาทางเพศต่ำลง ฯลฯ ซึ่งแม้ปล่อยทิ้งเอาไว้บางทีอาจเปลี่ยนเป็นสภาวะอันตรายที่ก่อให้เกิดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางกายตามมาได้ อีกทั้งหัวใจ ความดันเลือด ไมเกรน เครียดลงกระเพาะ แล้วก็อื่นๆได้
จัดแจงความตึงเครียด (ก่อน) สะสม ด้วยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหารวมทั้งขจัดปัญหาที่สาเหตุนั้นๆตระเตรียมสภาพแวดล้อมรอบข้างให้มองแจ่มใส ด้วยการเปลี่ยนแปลงมุมโต๊ะทำงานใหม่ลดความจำเจ และก็บรรเทาตนเองด้วยการออกไปพบปะสนทนาผู้คน ท่องเที่ยว ชอปปิง หรือแนวทางซึ่งสามารถทำเป็นง่ายด้วยการออกไปเดินสูดอากาศที่สวนสาธารณะก็ช่วยทำให้บรรเทาเจริญเพิ่มขึ้น แม้กระนั้นหากมีความรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะจัดแจงกับความตึงเครียดด้วยตัวเองได้ หรือเครียดมากมายจนกระทั่งไม่ไหวชี้แนะให้ขอความเห็นจิตแพทย์ หรือนักบรรเทา เสวนาเพื่อหาทางแก้ไขแนวทางอื่นๆแทน หรือกินยาที่ช่วยทำให้บรรเทาเยอะขึ้นเรื่อยๆ
2. ภาวการณ์หมดไฟสำหรับในการปฏิบัติงาน (Burnout Syndrome)
บางทีอาจพูดได้ว่าคือปัญหาสุขภาพด้านจิตที่กำลังเดินทางมาแรงในกรุ๊ปบุคลากรสถานที่ทำงาน เป็นสภาวะความเคลื่อนไหวด้านจิตใจอันมีที่มาจากความเคร่งเครียดสะสม ตอนนี้ได้รับการจดทะเบียนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้วว่าเป็นโรคซึ่งสามารถมีผลร้ายแรงแล้วก็รุกรามการดำรงชีวิตได้ถ้าหากมิได้รับการดูแลอย่างถูกทางจากหมอผู้ที่มีความชำนาญ โดยต้นเหตุมักมีเหตุที่เกิดจากความตึงเครียดเรื้อรังสำหรับเพื่อการดำเนินการ ภาระหน้าที่งานที่หนักสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะรับผิดชอบได้ไหว บ่อนทำลายจิตใจกระทั่งเปลี่ยนภาวะเป็นความหมดไฟท้ายที่สุด ความอ่อนล้าล้าทางอารมณ์นำมาซึ่งการทำให้มุมมองที่มีต่อการดำเนินงานเป็นไปในด้านลบ ขาดความสำราญ ไม่มีแรงดึงดูดใจไม่ได้อยากต้องการลุกไปออฟฟิตในตอนเช้า แล้วก็อาจทำให้คุณภาพสำหรับเพื่อการดำเนินงานลดน้อยลง ซึ่งถ้าหากปลดปล่อยให้นานวันเข้าอาจมีแนวโน้มร้ายแรงขึ้นแล้วก็เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคไม่มีชีวิตชีวาได้
จัดการกับสภาวะหมดไฟได้อย่างกล้าหาญ เพียงแต่รับทราบว่าร่างกายและจิตใจของตัวเองกำลังไปสู่สภาวะความเบื่อจากการทำงานได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสยดสยองอีกต่อไป ด้วยการเปิดใจกับคนที่อยู่รอบข้าง ขอคำแนะนำสหายร่วมงาน หรือหัวหน้าถึงปัญหาที่จะต้องแบกรับไว้ เห็นด้วยในความแตกต่าง ฟังความเห็นที่บางทีอาจมีความขัดแย้ง ปล่อยวางในเรื่องที่นอกจากการควบคุม ฟื้นฟูปรับแก้ก่อนที่จะสายได้ด้วยตัวเองโดยการไม่ตรวจงานกลับไปทำที่บ้าน แยกเวลาส่วนตัวแล้วก็งานออกมาจากกันให้กระจ่าง
3. ภาวการณ์ความพอใจในตัวเองต่ำ (Low self esteem)
ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่คนทำงานออฟฟิศใครหลายๆคนไม่รู้สึกตัวว่ากำลังพบเจอสภาวะนี้อยู่ โน่นเป็น ความรู้สึกเศร้าหมอง รังเกียจสิ่งที่ตนเองได้ตกลงใจทำลงไปแล้วมากมายเสียจนถึงมีความคิดว่าตนเองไม่มีค่า สูญเสียความรู้สึกให้เกียรติตนเอง แบกรับปัญหาและก็กล่าวร้ายว่าเกิดขึ้นจากตนเองไม่ดีพอเพียง แปลความหมายเหตุต่างๆในทางลบเสมอ เป็นภาวการณ์เสี่ยงมากมายที่จะก้าวผ่านสู่โรคหม่นหมอง สัญญาณเตือนที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้กำลังพบเจอวิกฤติ Low self esteem เป็นความหวั่นไหวไปกับเรื่องเล็กน้อยได้ง่าย กังวล ไปจนกระทั่งกลัวการเข้าสังคมเนื่องจากว่ากลัวที่จะต้องถูกไม่ยอมรับ เวลาเดียวกันก็ไม่กล้าไม่ยอมรับคำร้องขอของคนอื่นๆเนื่องด้วยกลัวไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งอาการพวกนี้มีสาเหตุจากการขาดความมั่นใจและก็เลื่อมใสในตัวเองที่สะสมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
สร้าง self esteem ด้วยตัวเองได้ก่อนที่จะความมั่นใจทางจิตใจจะหายไป โดยเริ่มจากการยกโทษให้ตัวเองในข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องจิ๊บจ๊อยหรือเรื่องสำคัญขอให้บอกตนเองว่ามันได้ล่วงเลยไปแล้ว บอกขอบพระคุณแล้วก็ให้คำกล่าวยกย่องกับตนเองในทุกการบรรลุผลหากแม้เกิดเรื่องเพียงนิดหน่อย จะดีขึ้นแม้ได้แรงส่งเสริมจากคนที่อยู่รอบข้าง ซึ่งสามารถมอบพลังบวกและก็ความสุขใจให้ได้ เห็นด้วยว่าความเสร็จของแต่ละคนสื่อความหมายแตกต่างกัน หยุดเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ความสำราญก็จะเกิดขึ้นได้ในหัวใจพวกเราเอง
4. โรคซึมเซา (Depression)
เป็นการไม่สบายอย่างหนึ่งเหมือนกับโรคทางกายประเภทอื่นๆการเป็นโรคกลัดกลุ้มมิได้หมายความว่าเป็นคนไม่แข็งแรง หรือไร้ความรู้ความเข้าใจ แต่ว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความไม่พอดีของสารสื่อประสาทในสมอง ที่ทำให้เกิดผลเสียโดยรวมต่ออารมณ์ ความรู้สึก ความประพฤติปฏิบัติ ไปจนกระทั่งสุขภาพทางร่างกาย ซึ่งจากสถิติพบว่าคนประเทศไทยแก่กว่า 15 ปี มีปัญหาสุขภาพทางจิต มีอาการป่วยด้วยโรคไม่มีชีวิตชีวาสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 1.5 ล้านคน เพราะว่านอกเหนือจากสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มาพร้อมความเคร่งเครียดจากงานที่กองล้นโต๊ะ แรงกดดันจากการทำงานที่สะสางได้ยาก สภาพสังคม กรรมพันธุ์ และก็สภาพแวดล้อม ล้วนมีส่วนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดสภาวะเซื่องซึมด้วย พวกเราสามารถตรวจสอบตนเองแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างว่าอยู่ในข่ายโรคเศร้าใจไหม ด้วยอาการซึม เศร้าสร้อย ห่อเหี่ยว เก็บตัว รู้สึกเบื่อกับสิ่งที่เคยทำให้เป็นสุข ซึ่งบางทีอาจร้ายแรงไปจนกระทั่งขั้นคิดสั้น หรือทำข้อสอบภาวการณ์เซื่องซึม เพื่อประเมินสุขภาพที่เกิดขึ้นกับจิตของตนพื้นฐาน
5. กรุ๊ปโรคไม่สบายใจและก็แพนิค (Panic Disorder)
เป็นโรควิตกประเภทหนึ่ง เป็นผลมาจากระบบประสาทอัตโนมัติที่รอควบคุมส่วนต่างๆของร่างกายดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติ รวมทั้งมีความเคร่งเครียดแล้วก็แรงกดดันเข้ามาเป็นเครื่องกระตุ้น มักออกอาการได้หลายชนิดด้วยกัน ดังเช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อไหลไคลย้อยมากมาย หายใจแรง คลื่นไส้ หน้ามืดแบบกะทันหัน ตัวชา กักคุมเองมิได้ ไปจนกระทั่งการกลัวสิ่งรอบข้างจนกระทั่งทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านสุขภาพจิตที่รุกรามชีวิตของคนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาของการที่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวไม่มากมายก็น้อย
โรคกังวลสามารถรักษาได้ด้วยการกินยาเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง พร้อมกันไปกับการฝึกหัดหายใจเพื่อข่มอารมณ์ รู้ทันความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจในใจที่เกิดขึ้น หากแม้อาการข้างนอกจะมองปลอดภัยรุนแรง แต่ว่าถ้าเกิดอยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคไม่สบายใจแล้วควรจะหารือสุขภาพเกี่ยวกับจิตกับจิตแพทย์ เพื่อเข้ารับการดูแลรักษาที่ถูก เนื่องด้วยลักษณะโรคละม้ายกับปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆที่บางทีอาจมีผลรุนแรงมากยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่น โรคความดันเลือดสูง หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจ
อย่าทำให้ปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างโรคไม่มีชีวิตชีวารุกรามชีวิตกระทั่งเกินปรับปรุงแก้ไข พวกเราสามารถไกลห่างโรคหม่นหมองได้ด้วยการคลายอารมณ์ความตึงเครียดจากงาน ฝึกหัดให้ตัวเองคิดบวกมองโลกแง่บวก แบ่งเวลาออกไปดำเนินการอดิเรกที่ถูกใจ รวมทั้งบริหารร่างกายแล้วก็พักให้พอเพียง แม้กระนั้นแม้อยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงแล้วสามารถต่อกรสภาวะเหงาหงอยด้วยการปรึกษาหารือและขอคำแนะนำจิตแพทย์ เพื่อพินิจพิจารณาแล้วก็หาทางรักษาอย่างถูกแนวทาง รวมทั้งเมื่อได้โอกาสได้สนิทสนมกับผู้เจ็บป่วยโรคเศร้าหมอง การเป็นคนฟังที่ดีจะช่วยทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกบรรเทาได้มากขึ้น
ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตคือปัญหาซึ่งสามารถกำเนิดได้กับทุกเพศ ทุกอาชีพ แล้วก็ทุกวัย เมื่อรู้สึกไม่ไหวบอก “ไม่ไหว” ไม่ต้องไปฝืนใจ เพราะเหตุว่าโน่นบางทีอาจเป็นการปกปิดปัญหาแล้วก็รังแกตนเองมากมายไปกว่าเดิม ไม่เพียงแค่คนทำงานออฟฟิศแค่นั้น การรับทราบตนเอง รู้เรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นในพื้นฐาน ก็สามารถทำให้พวกเรารู้ทันแล้วก็จัดแจงต่อกรกับสุขภาพเกี่ยวกับจิตที่เปลี่ยนได้อย่างถูกแนวทาง ด้วยเหตุนั้นอย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายจิตให้อดทน ร่วมกับสุขภาพเกี่ยวกับร่างกายที่แข็งแรง ดูเพื่อนพ้องร่วมสถานที่ทำงานด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันเมื่อได้โอกาส มอบโอกาสตนเองได้จุดโฟกัสชีวิตในมุมมองที่แฮปปี้กันเหอะ
แม้รู้สึกตัวว่าสภาวะเครียดเริ่มรุกรามจิตใจ หรือกำลังมีปัญหาด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต สามารถติดต่อศูนย์บริการเฉพาะทางเพื่อขอความเห็นจากจิตแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญ รวมทั้งรับการดูแลรักษาอย่างถูกทางถัดไป
ศูนย์
สุขภาพจิตใจ ชั้น 18 โรงหมอหลุดพ้น
เวลา 08.00-17.00 น. หรือโทร 02-079-0078
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายหมอ หรือบริการขอความเห็นแพทย์ออนไลน์
