แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 20
1
คอนโดใหม่ 2025: ออริจิ้น เพลส ขอนแก่น - กัลปพฤกษ์ (Origin Place Khonkaen - Kanlapaphruek)
เริ่มต้น 1.69 ลบ.

ออริจิ้น เพลส ขอนแก่น - กัลปพฤกษ์ (Origin Place Khonkaen - Kanlapaphruek)
Origin Place โครงการใหม่ในขอนแก่น ทำเลศักยภาพในย่านสามเหลี่ยม – กังสดาล คอนโดแนวคิดใหม่ สำหรับสายสุขภาพ 'Wellness in your place of well-being' พร้อมส่วนกลางลอยฟ้า Rooftop Facilities ใจกลางเมือง ใกล้ Central เพียง 2 กม.* และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ          ออริจิ้น เพลส ขอนแก่น - กัลปพฤกษ์ (Origin Place Khonkaen - Kanlapaphruek)
 เจ้าของโครงการ     ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย           ออริจิ้น เพลส
 ราคา                   เริ่มต้น 1.69 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล         คอนโดตากอากาศ
 ความสูงคอนโด        Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 เนื้อที่ทั้งหมด           3 ไร่
 จำนวนตึก               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น              8 ชั้น
 จำนวนห้อง            442 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สาธารณูปโภค        สระว่ายน้ำ (Hydro Pool & Jacuzzi, Lap Pool), ฟิตเนส, ซาวน่า, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, อื่นๆ (Welcome Lounge, Forest Bathing, Sky Exercise Area, Co-Kitchen & Veg Garden, Party Terrace, Dining Terrace, Garden Pavilion, Cinemassage Theatre), สตรีม, สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        เมืองขอนแก่น
 ที่ตั้ง       ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
1.เซ็นทรัลขอนแก่น 2 กม.
2.โรงพยาบาลราชพฤกษ์ 740 ม.
3.โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น 900 ม.
4.โรงพยาบาลศรีนครินทร์ 3 กม.

 ปีที่สร้างเสร็จ         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

2
ปล่อยรถป้ายแดง MITSUBISHI XPANDER 1.5 GT ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

มิตซูบิชิ Mitsubishi Xpander GT ปี 2018
All New Xpander รุ่น GT นิยามใหม่ของ Crossover ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยถ่ายทอดความแข็งแกร่งและแรงบันดาลใจเพื่อสร้างเซกเมนต์ใหม่ ด้วยการผสานสมรรถนะอันแข็งแกร่งแบบรถ Crossover เข้ากับความอเนกประสงค์ในการใช้งานที่หลากหลาย และจากการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนารถอเนกประสงค์ Xpander มีความสูงจากพื้นมากกว่ารถยนต์ในกลุ่มเดียวกันที่ 205 มม. (ในรุ่น GT) ด้านดีไซน์ล้ำสมัยด้วยเอกลักษณ์การออกแบบ Advanced 'Dynamic Shield' ไฟหรี่เป็น Crystal LED ไฟหน้าเป็นมัลติรีเฟลกเตอร์แบบฮาโลเจน

All New Xpander รุ่น GT มีความกว้างสบายจากห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ สามารถปรับเบาะที่นั่งได้อย่างอเนกประสงค์ รองรับการใช้งานได้อย่างดี เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งกุญแจอัจฉริยะ, แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, หน้าจอแสดงผลข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว

All New Xpander รุ่น GT ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อลูมินัมอัลลอยเบนซิน รหัส 4A91 ขนาด 1.5 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว ให้กำลัง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อ Xpander

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 21 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.29%, ยอดจัดไม่เกิน 3-6 แสน,ผ่อนสูงสุด 84 เดือน
ค่าดำเนินการแคมเปญ 20,000 บาท (รวมในยอดจัดได้)

ราคาพิเศษ 569,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                 Mitsubishi
   รุ่น                      มิตซูบิชิ Mitsubishi Xpander GT ปี 2018
   ประเภทรถ             รถอเนกประสงค์ MPV
   ปีที่เปิดตัว              2018


3
วัณโรคปอด โรคติดต่อที่แพร่เชื้อง่าย

วัณโรคปอด ฟังดูเหมือนโรคโบราณ แต่กลับยังพบผู้ป่วยอยู่เรื่อย ๆ และยังพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มสูงขึ้น ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO, Global Tuberculosis Report 2021) สำหรับปี ค.ศ. 2021-2025 พบว่า ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 30 ประเทศ ที่มีผู้ป่วยวัณโรคและวัณโรคที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ HIV ปริมาณมาก โดยจากผลการดำเนินงานวัณโรคของประเทศไทยปี พ.ศ. 2563 พบว่ามีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้ำขึ้นทะเบียนรักษา 85,837 ราย อัตราการเสียชีวิตสูงและจะสูงขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคร่วม ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ เชื้อแพร่กระจายได้รวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

รู้จักวัณโรคปอด

วัณโรค (Tuberculosis หรือ TB) เป็นโรคติดต่อ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียมัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) จัดอยู่ในกลุ่ม Mycobacterium tuberculosis complex วัณโรคเกิดได้ทุกอวัยวะของร่างกาย แต่ส่วนใหญ่ 80% พบบ่อยที่ปอด เนื่องจากเชื้อติดต่อผ่านทางลมหายใจจึงทำให้เชื้อเข้าไปฝังตัวที่ปอดเป็นอวัยวะแรกของร่างกาย วัณโรคปอดจะแพร่เชื้อได้ และติดต่อได้ง่ายผ่านทางอากาศด้วยการหายใจ การจาม การไอ หรือการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ และเชื้อนี้ยังสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง จึงเป็นเหตุทำให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายอ่อนแอ รวมทั้งเด็กและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคได้ง่าย

สำหรับวัณโรคอวัยวะอื่น ๆ ได้แก่ เยื่อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อต่อกระดูก ช่องท้อง ระบบประสาท ซึ่งจะไม่แพร่เชื้อ

วัณโรคปอดติดต่อได้อย่างไร

วัณโรคปอดติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอากาศ (airborne transmission) เมื่อผู้ป่วยวัณโรคปอด ไอ จาม พูดดัง ๆ ตะโกน หัวเราะ ร้องเพลง ทำให้เกิดละอองฝอย (droplet nuclei) ฟุ้งกระจายออกมา ละอองฝอยที่มีขนาดใหญ่มากจะตกสงสู่พื้นดินและแห้งไป ละอองฝอยที่มีขนาดเล็ก 1-5 ไมโครเมตร จะลอยและกระจายอยู่ในอากาศ แพร่เชื้อให้ผู้ที่สูดเข้าไป
การแพร่กระจายเชื้อวัณโรคจะมากหรือน้อย พิจารณาปัจจัย 3 ด้านเพิ่มเติม คือ

    ความสามารถในการแพร่เชื้อวัณโรคของผู้ป่วย เช่น วัณโรคปอด หลอดลม หรือ กล่องเสียง จะแพร่เชื้อทางอากาศได้มาก ผลเสมหะพบเชื้อจะมีโอกาสแพร่ได้มากกว่าเสมหะไม่พบเชื้อ
    ระยะเวลาการที่สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคปอด เช่น ผู้สัมผัสร่วมบ้านผู้ป่วย ทำงานในห้องเดียวกัน มีโอกาสรับเชื้อมาก
    ปัจจัยของสิ่งแวดล้อม เช่น การระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม สถานที่แออัด แดดส่องไม่ถึง เชื้อสามารถอยู่ในที่ชื้นและมืดได้นานถึง 6 เดือน

การติดเชื้อ และการป่วยเป็นวัณโรคปอด

เมื่อรับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย จะมีระบบภูมิคุ้มกันทำลายเชื้อ ถ้าร่างกายกำจัดเชื้อได้หมดจะไม่เกิดการติดเชื้อ แต่ถ้าร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด ยังคงมีเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ แสดงว่ามีการติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง (latent TB infection) เชื้อวัณโรคที่แฝงในร่างกายเป็นเชื้อที่ยังมีชีวิต แต่ไม่เจริญเติบโตหรือลุกลาม เมื่อร่างกายมีภาวะอ่อนแอ มีโรคร่วม อายุมากขึ้น ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อวัณโรคที่แฝงอยู่มีการเจริญเติบโตและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนทำให้ป่วยเป็นวัณโรคได้

โดยทั่วไปหลังสัมผัสผู้ป่วยวัณโรค

    70% ไม่ติดเชื้อวัณโรค
    30% มีการติดเชื้อวัณโรค โดยคนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เรียกว่า การติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง (latent TB infection) ซึ่งไม่ใช่การป่วยเป็นวัณโรค ภาพรังสีทรวงอกปกติ ไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น
        90% ของวัณโรคระยะแฝง ไม่ป่วยเป็นวัณโรค
        10% ของวัณโรคระยะแฝง จะป่วยเป็นวัณโรค แบ่ง 5% ป่วยภายใน 2 ปีหลังรับเชื้อ อีก 5% ป่วยภายหลัง อาจนานนับสิบปีหลังรับเชื้อ
    ผู้ป่วยเสมหะพบเชื้อถ้าไม่รักษาจะเสียชีวิต 30-40% ใน 1 ปี และ 50-65% ใน 5 ปี

วัณโรคปอดมีอาการอย่างไร

    ไอติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์
    ไอแห้ง หรือมีเสมหะ ไอมีเสมหะปนเลือด
    มีไข้ต่ำ ๆ ตอนบ่ายหรือค่ำ เหงื่อออกกลางคืน
    เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย

ไม่จำเป็นต้องมีอาการดังกล่าวทุกข้อ บางรายไม่มีอาการเลย แต่ภาพรังสีทรวงอกเข้าได้กับวัณโรคปอด

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค

    ผู้ที่อยู่ร่วมกับผู้ที่ป่วยเป็นวัณโรค เช่น ผู้ที่อยู่บ้านเดียวกัน เพื่อนร่วมงานในห้องเดียวกัน
    ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือป่วยเป็นโรคเอดส์
    ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันนานๆ เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์
    การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเสพสารเสพติด

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นวัณโรคปอด

แพทย์จะเริ่มด้วยการซักประวัติและการตรวจร่างกาย เช่น การตรวจต่อมน้ำเหลือง ฟังเสียงปอดขณะหายใจ และใช้การตรวจเพิ่มเติม ได้แก่

    การตรวจเสมหะ
    เอกซเรย์ปอด ถ้าเอกซเรย์ปอดสงสัยแต่ไม่ชัดมากอาจต้องทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest) เพิ่มเติม

การรักษาวัณโรคปอด

วัณโรคสามารถรักษาให้หายได้ ใช้เวลาการรักษาประมาณ 6-9 เดือน ขึ้นกับความรุนแรงของตัวโรค โดยมีบุคคลในครอบครัวหรือบุคลากรทางการแพทย์คอยดูแล และกำกับการรับประทานยาของผู้ป่วย พร้อมทั้งคอยแนะนำหากมีอาการแพ้ยาและพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอจนครบการรักษา โดยแพทย์อาจเลือกใช้ยารักษาผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค เช่น ไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ริฟามพิน (Rifampin) เอทแทมบูท (Ethambutol) และไพราซีนาไมด์ (Pyrazinamide) เป็นต้น

อาการข้างเคียงที่พบจากการรับประทานยารักษาวัณโรค

    ตัวเหลือง ตาเหลือง
    อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
    มีผื่นขึ้นปริมาณมาก ทั้งที่คันและไม่คัน
    ไข้ขึ้น ปวดข้อ ข้อบวม ข้ออักเสบ
    การมองเห็นผิดปกติ ที่ไม่พบสาเหตุอื่น
    พบอาการข้างเคียงดังกล่าวต้องหยุดรับประทานยา และรีบมาพบแพทย์เพื่อปรับสูตรยา

ควรปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อเป็นวัณโรค

    ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก เวลาไอหรือจามเพื่อป้องกันไม่ให้ เชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น จนกว่ารับประทานยาไปแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์
    ไอจามใช้กระดาษชำระปิดปากและจมูก ทิ้งในถังขยะที่มีถุงรองรับและมีฝาปิด ล้างมือบ่อยๆ บ้วนเสมหะในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดทำลายโดยการเผาทุกวัน หรือบ้วนเสมหะในโถส้วม
    รับประทานยาตามขนาดและชนิดที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งจนกว่าแพทย์จะสั่งหยุดยา
    หลังรับประทานยาอาการจะดีขึ้น แต่ห้ามหยุดยาเป็น อันขาด เพราะจะทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยาและยากต่อการรักษา
    รับประทานอาหารได้ทุกชนิดที่มีประโยชน์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ผัก ผลไม้ และพักผ่อนให้เพียงพอ
    จัดสถานที่พักอาศัยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่อง
    ควรงดเหล้า บุหรี่ และสิ่งเสพติดทุกชนิด เพราะมีผลต่อการรับประทานยา
    ควรนำคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กไปตรวจภาพรังสีทรวงอก สำหรับในเด็กจำเป็นต้องประเมินการติดเชื้อวัณโรคเพราะต้องให้ยาป้องกัน

วัณโรคกับเอดส์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

    ผู้ป่วยโรคเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โอกาสป่วยเป็น วัณโรคได้รวดเร็วและรุนแรงมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคเอดส์
    วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในผู้ป่วยเอดส์
    ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่เป็นวัณโรค มีสถิติการเสียชีวิตมากกว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ไม่ติดเชื้อวัณโรค

    ทั้งนี้หากมีอาการผิดปกติ น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจ โดยการเอกซเรย์ปอด และตรวจเสมหะ และควรตรวจร่างกายโดยการเอกซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและลดการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
เรา
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



5
โพสขายออนไลน์ฟรี / จัดฟันเด็กแบบไหนดีกว่ากัน
« เมื่อ: วันที่ 29 มีนาคม 2025, 23:05:22 น. »
จัดฟันเด็กแบบไหนดีกว่ากัน   

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หลายคนมองว่า การจัดฟันนั้น มักจัดฟันในช่วงที่มีฟันแท้ขึ้นครบ คือ อายุประมาณ12-15 ปี ซึ่งการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันนั้นมีด้วยกันหลายช่วงอายุ คือ สามารถจัดฟันตั้งแต่ในเด็กถึงผู้ใหญ่เลย แต่ต้องพิจารณาตามความผิดปกติและพัฒนาการขอกะโหลกศีรษะและใบหน้าร่วมด้วย แต่หากมีความผิดปกติของความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบน-ล่าง ก็ควรจะเริ่มการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย

เพราะในเด็กจะสามารถแก้ไขปัญหาความผิดปกติในเรื่องขอฟันได้ดีกว่า และไม่ซับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปยังฟันซี่อื่นๆต่อไป ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถนำเด็กๆ อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่นหรือไม่ต้องรอให้ฟันน้ำนมหลุดออกหมด อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้น ก็มีด้วยกัน สองวิธีที่เป็นที่นิยมและสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นั่นก็คือ การจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือ EF LINE และการจัดฟันในเด็กที่ใช้เหล็กจัดฟันหรือเครื่องมือแบบติดแน่นที่เรามักจะคุ้นตากันอยู่แล้ว แต่พ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้ได้อย่างไรว่า บุตรหลานของท่าน เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบใด หรือ การจัดฟันในเด็กแบบไหนจะมีประสิทธิภาพหรือดีกว่ากัน วันนี้ทางคลินิก Idol Smile เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็กทั้งสองรูปแบบ ว่าแบบไหนเหมาะสมหรือการจัดฟันแบบไหนจะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฟันได้ดีกว่า เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เป็นแนวทางในการศึกษาข้อมูลเพื่อที่จะได้พาบุตรหลานของท่านเข้ารับกาจัดฟันในเด็กและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดจริงๆ

 
ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือ EF LINE ก่อน ซึ่งการจัดฟันในเด็กแบบ EF line คือ นวัตกรรมการจัดฟันรูปแบบใหม่ ที่ทำให้เด็กเล็กสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบขึ้นไป ด้วยกระบวนการจัดฟัน โดยอาศัยแรงที่ได้จากกล้ามเนื้อให้เกิดการปรับโครงสร้างกระดูกใบหน้าและให้มีการเรียงตัวของฟันที่สวยงาม ซึ่งใช้ชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น

ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ขวบ เพราะเด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาได้ จึงเหมาะกับเครื่องมือ EF LINE มากกว่า ส่วนการจัดฟันในเด็กโดยใช้เครื่องมือแบบติดแน่น

เป็นการรักษาทางทันตกรรมด้วยการใช้เหล็กจัดฟัน เหมือนที่เราเห็นได้บ่อย เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 7-15 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเด็กในวัยนี้เริ่มที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันในขณะที่เข้ารับการจัดฟันอยู่ สามารถให้ความร่วมมือในการรักษากับทันตแพทย์ได้เป็นอย่างดี จึงจะทำให้การจัดฟันมีความประสบความสำเร็จ และมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้น หากพูดถึงแง่ของประสิทธิภาพของการจัดฟันทั้งสองรูปแบบ ต้องบอกว่า มีข้อดีต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัยและปัญหาของฟันของเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็ก สิ่งที่สำคัญก็คือ การร่วมมือกับทันตแพทย์ หากเด็กไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา ก็อาจจะทำให้การจัดฟันไม่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั่นเอง จึงสรุปได้ว่า การจัดฟันทั้งสองรูปแบบมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างแน่นอน หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม และการร่วมมือที่ดีของผู้เข้ารับการจัดฟัน

 
อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะสอนให้ลูกรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี ควรปลูกฝังให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาฟันในอนาคต มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากท่านสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วย EF Line หรือการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือแบบติดแน่น สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยและเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น

6
โพสขายออนไลน์ฟรี / มือถือ Huawei หัวเหว่ย Huawei-Nova 10 SE (8GB/256GB)
« เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2025, 18:53:08 น. »
มือถือ Huawei หัวเหว่ย Huawei-Nova 10 SE (8GB/256GB)
13,990 บาท

หัวเหว่ย Huawei-Nova 10 SE (8GB/256GB)
Huawei Nova 10 SE สมาร์ตโฟนหน้าจอ OLED ขนาด 6.67 นิ้ว กล้องหลัง 3 เลนส์ ความจุแบตเตอรี่ 4,500 mAh รองรับ Fast charging 66W

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น            หัวเหว่ย Huawei-Nova 10 SE (8GB/256GB)
   ราคากลาง         13,990 บาท
   จำนวนซิม          2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์        จอสัมผัส
   สี                   Silver(Starry Silver), Black(Starry Black), Green(Mint Green)
   ความถี่-เครือข่าย
2G(2 / 3 / 5 / 8)
3G(1 / 2 / 5 / 8)
4G(1 / 3 / 5 / 7 / 8 / 20 / 28)

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 162.39 x กว้าง 73.91 x หนา 7.39 มม., น้ำหนัก 184 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)   256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ       ความจุแบตเตอรี่ 4,500 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                  จอสัมผัส (OLED)
   ความละเอียด           6.67 นิ้ว, 395 ppi, 2,400 x 1,080 px
   รายละเอียดอื่น
ระบบปฎิบัติการ EMUI 12
ประมวลผลชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 680G 4G
กล้องหลัง 3 เลนส์ เลนส์หลัก 108 MP, f/1.9 + เลนส์ ultrawide 8 MP, f/2.2 + เลนส์ macro 2 MP, f/2.4
รองรับ Fast charging 66W

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                    กล้องหลัง (108 Mpx), กล้องหน้า (16 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                  Auto Focus, Flash

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)                  Octa-core, 4 x Cortex-A73@2.4 GHz + 4 x Cortex-A53@1.9 GHz
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)          Adren 610
   หน่วยความจำ (RAM)                      8.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                    USB(Type-C 2.0), Bluetooth(5.0), Wi-Fi(802.11a/b/g/n/ac, 2.4 GHz and 5 GHz)
   ระบบรับส่งข้อความ
SMS, MMS, EMAIL
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต                 3G, GPRS, EDGE, WiFi, 4G
   ระบบ GPS                              GPS / AGPS / Glonass / BeiDou / GALILEO / QZSS

7
โพสขายออนไลน์ฟรี / Doctor At Home: มะเร็งตับ (Liver cancer)
« เมื่อ: วันที่ 26 มีนาคม 2025, 22:16:00 น. »
Doctor At Home: มะเร็งตับ (Liver cancer)

มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้ชายไทย และพบมากเป็นอันดับที่ 2-3 ของโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงไทย มักเกิดในคนอายุ 30-70 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า

ในบ้านเรา แบ่งมะเร็งตับออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1. มะเร็งเซลล์ตับ (hepatoma/hepatocellular carcinoma/HCC) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่อยู่ในเนื้อตับ พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ มักพบในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี (ทั้งที่เป็นพาหะและผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง) ผู้ป่วยตับแข็ง ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งเซลล์ตับ

2. มะเร็งท่อน้ำดี (cholangiocarcinoma/CCC) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุภายในท่อน้ำดีส่วนที่อยู่ภายในตับ (biliary tree) พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่พบมากที่สุดทางภาคอีสาน* เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้มักพบร่วมกับโรคพยาธิใบไม้ตับ

*ประชาชนในภาคอีสานจะคุ้นเคยกับโรคนี้ อันเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคพยาธิใบไม้ตับเป็นอย่างดี และเนื่องจากผู้ป่วยมีอาการตับโตเป็นสำคัญ จึงนิยมเรียกว่า โรคตับโต

สาเหตุ

มะเร็งเซลล์ตับ สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี ตับแข็ง และการดื่มแอลกอฮอล์จัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารอะฟลาท็อกซิน (afla toxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อราที่มีชื่อว่า Aspergillus flavus และพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง (โดยเฉพาะถั่วลิสงบด) ข้าวโพด ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ พริกแห้ง หัวหอม กระเทียม องุ่นแห้ง ปลาตากแห้ง มันสำปะหลัง แหนม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ เป็นต้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตัวเสริมให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะไขมันสะสมในตับหรือไขมันเกาะตับ (fatty liver) การสูบบุหรี่ การได้รับฮอร์โมนเพศชายเป็นเวลานาน การได้รับสารเคมีอันตรายจากยากำจัดวัชพืช เป็นต้น

มะเร็งท่อน้ำดี สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคพยาธิใบไม้ตับ (ซึ่งเกิดจากการกินปลาน้ำจืดแบบดิบ ๆ) การกินอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่พบในอาหารพวกโปรตีนหมัก (เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม เป็นต้น) อาหารพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว (เช่น กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น) และอาหารรมควัน (เช่น ปลารมควัน ไส้กรอกรมควัน)

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดี เช่น ตับแข็ง ตับอักเสบจากไวรัส ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง นิ่วในท่อน้ำดี ท่อน้ำดีโป่งพอง ความผิดปกติของระบบทางเดินน้ำดีโดยกำเนิด โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคอ้วน เบาหวาน การสูบบุหรี่ การบริโภคแอลกอฮอล์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การมีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งเสมอไป กล่าวคือผู้ที่เป็นมะเร็ง อาจไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจนหรือมีเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลาย ๆ คนก็ไม่ได้กลายเป็นมะเร็งตามมา


อาการ

ในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใด ๆ (ยกเว้นในรายที่เป็นตับแข็งอยู่ก่อน ก็จะมีอาการของโรคตับแข็ง) เมื่อก้อนมะเร็งลุกลามมากขึ้น จึงเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด จุกเสียดท้อง คล้ายอาการอาหารไม่ย่อย บางรายอาจมีอาการปวดหรือเสียวชายโครงขวาโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้อาการเหล่านี้มักเป็นอยู่เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยผู้ป่วยอาจไม่ได้ใส่ใจ หรือคิดว่าเป็นอาการปวดยอกชายโครงหรืออาหารไม่ย่อย

เมื่อก้อนมะเร็งโตมากขึ้น ก็จะมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น รู้สึกแน่นอึดอัดที่บริเวณลิ้นปี่ทั้งวัน มีอาการปวดใต้ชายโครงขวา ซึ่งอาจปวดร้าวไปที่ไหล่ขวาหรือใต้สะบักด้านขวา ผู้ป่วยจะเบื่ออาหารมากขึ้น และน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วจนคนใกล้ชิดรู้สึกผิดสังเกต 

บางรายอาจมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม อาจคลำได้ก้อนที่ใต้ชายโครงขวา ท้องบวม หรือเท้าบวมทั้ง 2 ข้าง อาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย

ในรายที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี (มักพบในโรคมะเร็งท่อน้ำดี) ผู้ป่วยจะมีอาการตาและตัวเหลืองจัด คันตามตัว อุจจาระสีซีดขาว

ในรายที่มีภาวะตับแข็งระยะท้ายร่วมด้วย อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด


ภาวะแทรกซ้อน

มะเร็งตับอาจแพร่กระจายไปทั่วท้องและอวัยวะต่าง ๆ ทำให้มีอาการเจ็บปวดรุนแรง หายใจลำบาก และอาการผิดปกติของอวัยวะที่มะเร็งแพร่กระจายไป เช่น ปวดกระดูกสันหลัง อาการผิดปกติทางสมอง เป็นต้น

อาจมีการแตกของก้อนมะเร็ง (ทำให้มีเลือดออกในช่องท้อง) หรือเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากตับถูกทำลายไม่สามารถผลิตกลูโคสออกมาในกระแสเลือดได้

ในรายที่มีตับแข็งร่วมด้วย ก็มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคตับแข็งร่วมด้วย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจพบตับโต (คลำได้ก้อนแข็ง ผิวขรุขระที่บริเวณใต้ชายโครงขวา) อาจพบอาการท้องมาน (มีน้ำในท้อง) เท้าบวม 2 ข้าง รูปร่างผอม ดีซ่าน หรือไข้ต่ำ ๆ

ในรายที่มีโรคตับแข็งร่วมด้วย มักตรวจพบฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม

แพทย์จะวินิจฉัยให้ชัดเจนโดยการตรวจเลือด (พบระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีนในเลือดสูง) และทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การสแกนตับ การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP) การตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบว่าเป็นมะเร็งตับระยะแรก (เช่น ตรวจกรองพบโรคนี้ในกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่มีอาการ) ก็อาจรักษาด้วยการผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออก หรือทำการปลูกถ่ายตับ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวหรือหายขาดได้

2. ถ้าพบมะเร็งตับระยะท้าย (ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่ตรวจพบเมื่อปรากฏอาการชัดเจนแล้ว) มักจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ หากปล่อยไว้อาจเสียชีวิตภายใน 6 เดือนถึง 1 ปีโดยเฉลี่ย บางรายอาจอยู่ได้นานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ปฏิบัติตัวดูแลตนเองดี 

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับ แพทย์อาจทำการรักษาเพื่อหยุดยั้งมะเร็ง เช่น การให้เคมีบำบัด การฉายรังสี การฉีดยาฆ่ามะเร็งและสารอุดตันเข้าหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งให้ก้อนยุบลง (transarterial chemoembolization/TACE และ transcatheter oily chemoembolization/TOCE) การฉีดแอลกอฮอล์เข้าก้อนมะเร็งโดยผ่านทางผิวหนัง (percutaneous ethanol injection/PEI), การฆ่าเซลล์มะเร็งด้วยความร้อนจากพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (radiofrequency ablation), อิมมูนบำบัด (immunotherapy) ฮอร์โมนบำบัด (hormone therapy) เป็นต้น

นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคองเพื่อให้ลดอันตรายและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น ให้ยาบรรเทาปวด ให้เลือด (ถ้ามีเลือดออก) เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี ที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี แพทย์อาจทำการผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำดี เพื่อบรรเทาอาการคันและดีซ่าน

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย น้ำหนักลดฮวบ ปวดเสียดใต้ชายโครงขวา ท้องบวม หรือ คลำได้ก้อนแข็งที่ใต้ชายโครงขวา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จัด เพราะอาจทำให้ตับแข็งซึ่งกลายเป็นมะเร็งตับได้ ถ้าตรวจพบพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ไม่สูบบุหรี่

3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

4. ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ ๆ

5. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีสารอะฟลาท็อกซิน เช่น ถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียมที่ขึ้นรา สารนี้มีความทนต่อความร้อน ไม่ถูกทำลายแม้จะปรุงด้วยความร้อน

6. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีสารไนโตรซามีน เช่น อาหารโปรตีนหมักดอง รมควัน หรือเนื้อสัตว์ที่ ผสมดินประสิว หากจะกินควรทำให้สุกเพื่อทำลายสารนี้เสียก่อน

7. หาทางป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ทางเลือดหรือทางเพศสัมพันธ์ และควรตรวจเช็กสุขภาพโดยการตรวจเลือด ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรทำการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันโรคตับแข็งและมะเร็งตับ

8. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบีตั้งแต่แรกเกิด หรือในกรณีที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้

9. ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ ควรรักษาให้หายขาด และงดกินปลาน้ำจืดแบบดิบ ๆ อย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ซ้ำซาก


ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ สามารถตรวจหามะเร็งเซลล์ตับในระยะแรกเริ่มได้ โดยการเจาะเลือดตรวจหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alpha-fetoprotein) ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูง เช่น ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ผู้ป่วยตับอักเสบจากไวรัสชนิดบีหรือซีเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ แพทย์จะแนะนำให้หมั่นตรวจเลือดหาสารนี้และตรวจอัลตราซาวนด์เป็นระยะ ๆ (ทุก 3-6 เดือน) อาจช่วยให้มีทางตรวจพบมะเร็งระยะแรกเริ่มได้

2. สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับระยะท้าย แม้ว่าจะไม่สามารถให้การรักษาให้หาย ก็ควรได้รับการดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ญาติควรให้กำลังใจผู้ป่วยและส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี อาจช่วยให้มีชีวิตยืนยาวได้มากขึ้น

8
รถยนต์ไฟฟ้า Toyota C-HR+ เผยโฉมครั้งแรกในยุโรป ด้วยกำลัง 252 kw, แบตเตอรี่ 77 kWh พร้อมวิ่งได้ถึง 600 กิโลเมตร ก่อนขายจริงปลายปี 2025

โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (Toyota) เผยโฉม Toyota C-HR+ พร้อม bZ4X และ Lexus RZ เป็นครั้งแรกในยุโรปซึ่งถือเป็นการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยโตโยต้ามุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรถยนต์ที่ดียิ่งขึ้น ในการพัฒนาเพื่อให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนนั้น มีการนำระบบขับเคลื่อนประเภทต่าง ๆ มาใช้ การนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า Toyota C-HR+ ในยุโรปก็เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ยุโรปมีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่าโดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV จึงมีความจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในรูปแบบดังกล่าว
 
Toyota C-HR+ รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่

Toyota C-HR+ มีสไตล์โฉบเฉี่ยวสะดุดตาพร้อมทั้งให้ความสะดวกสบายด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางและพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีความจุมากถึง 416 ลิตร ใช้แพลตฟอร์ม e-TNGA ระบบกันสะเทือนได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ

Toyota C-HR+ (ในยุโรป) มี 3 รุ่นย่อย ให้เลือกโดยใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แบ่งออกเป็น
Standard (FWD) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ให้กำลัง 123 kW (165 แรงม้า) แบตเตอรี่ขนาดความจุ 57.5 kWh สร้างอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายในเวลา 8.6 วินาที วิ่งได้ไกล 445 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
Long Range (FWD) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ให้กำลัง 165 kW (222 แรงม้า) แบตเตอรี่ขนาดความจุ 77 kWh สร้างอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายในเวลา 7.4 วินาที วิ่งได้ไกล 600 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
Performance (AWD) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลัง 252 kW (338 แรงม้า) แบตเตอรี่ขนาดความจุ 77 kWh สร้างอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายในเวลา 5.2 วินาที วิ่งได้ไกล 525 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
การชาร์จไฟ Toyota C-HR+ ใช้หัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo รองรับกระแสสลับ AC รองรับสูงสุด 11 kW / 22 kW, dระแสตรง DC รองรับสูงสุด 150 kW

ฟีเจอร์สำคัญของ Toyota C-HR+
ตัวถังพิกัด B-SUV Coupe Crossover
ไฟหน้า-ไฟท้าย Full LED

หน้าจอกลาง Touchscreen 14 นิ้ว
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Toyota Safety Ssense
ระบบเตือนมุมอับสายตา
ระบบเบรกอัตโนมัติขณะถอยจอด
ระบบช่วยจอด Park Assist
กล้องรอบคัน 360 องศา

วิสัยทัศน์ของโตโยต้าและแนวทางการพัฒนา
Simon Humphries หัวหน้าฝ่ายแบรนด์ของโตโยต้า ได้เน้นย้ำถึงแนวทางของบริษัทที่มุ่งเน้นสร้าง รถยนต์ที่ดีขึ้นตลอดไป ซึ่งเป็นหลักการที่ Akio Toyoda วางรากฐานไว้ แนวทางนี้ส่งเสริมให้ทีมออกแบบ วิศวกร และนักวางแผนสามารถพัฒนาและตีความแนวคิดได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค
ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
Hilux Champ – ตอบโจทย์การทำงานในประเทศไทย
Alphard – นิยามใหม่ของพื้นที่เคลื่อนที่ในญี่ปุ่น
Land Cruiser – ออกแบบเพื่อความทนทานและการใช้งานจริง
Prius – ผสมผสานประสิทธิภาพและเสน่ห์ในการขับขี่
Century – สัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมและมรดกของโตโยต้า
แนวทางการผลิตในแต่ละภูมิภาค
จีน: bZ3X, bZ3C และ bZ7 ออกแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง
อเมริกา: Tacoma และ 4Runner รองรับการผจญภัยและการพักผ่อน
ยุโรป: Aygo Cross เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่
โตโยต้า มีพนักงานกว่า 380,000 คน ศูนย์วิจัยและพัฒนา 22 แห่ง และโรงงานผลิต 69 แห่งทั่วโลก โดยพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่หลากหลาย อาทิ
รถยนต์ไฮบริดเชื้อเพลิงยืดหยุ่นในอเมริกาใต้
รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงในญี่ปุ่น
รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่นใหม่ 3 รุ่นในยุโรป

Toyota C-HR+ ถือเป็นหนึ่งในรถที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และการพัฒนารุ่นไฟฟ้าล้วนเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาด โดยมีกำหนดเปิดตัวในยุโรปช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และเริ่มส่งมอบในปี 2026

9
จัดฟันบางนา: เตือนระวัง ! อาการข้างเคียงต่างๆ หลังการรักษารากฟัน

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีอาการผิดปกติต่าง ๆในช่องปาก และละเลยในการรักษา เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หายเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งรู้หรือไม่ว่านั่นคือสิ่งที่อันตรายมาก ๆ การปล่อยฟันที่เป็นโรคทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เชื้อโรคเกิดการแพร่กระจาย ไปทำลายกระดูกรอบ ๆฟันที่มีปัญหา ส่งผลให้มีอาการเจ็บปวด หรือ มีตุ่มหนอง และหากว่ายังปล่อยไว้จนกระทั่งกระดูกรองรับฟันถูกทำลาย อาจจะทำให้ฟันซี่นั้นต้องถูกถอนทิ้งไปนั่นเอง

แต่หากว่าไม่ต้องการที่จะถอนฟันซี่ดังกล่าวที่ติดเชื้อรุนแรงแล้วล่ะก็ขอแนะนำการรักษาคลองรากฟัน ก็คือการรักษาซ่อมแซมฟันที่เสียหาย หรือติดเชื้อรุนแรงโดยที่ไม่ต้องทำการถอนทิ้ง ซึ่งขึ้นตอนการรักษานั้นก็คือการขูดเนื้อฟันส่วนที่เสียหายออก แล้วจึงเริ่มทำความสะอาดรากฟันเพื่อให้เกิดการปลอดเชื้อ และจึงเริ่มทำการอุดคลองรากฟันและโพรงประสาท ก็จะรักษาฟันซี่ที่ติดเชื้อไว้ได้ในที่สุดนั่นเอง


เมื่อใดควรทำการรักษารากฟัน ?

     ฝันผุลึกมากจนกระทั่งทะลุถึงโพรงฟัน
    ฟันแตก หรือหักทะลุโพรงฟัน
     ฟันแตก หรือหักแต่ไม่ทะลุโพรงฟัน แต่เนื้อฟันส่วนที่เหลือนั้นยากจะทำการแก้ไขได้
     มีหนองเกิดขึ้นบริเวณปลายราก
     ฟันที่ได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรง หรือโดนกระแทกจนเกิดการอักเสบ หรือเกิดการตายของเนื้อเยื่อในโพรงฟัน

โดยการรักษารากฟันนั้น สามารถทำให้เก็บรักษาฟันที่มีปัญหาไว้ใช้งานต่อไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าการใส่ฟันปลอม เพราะ ฟันที่ได้รับการรักษารากฟันแล้ว ก็คือฟันแท้ปกติที่ไม่ต่างจากฟันซี่อื่นๆเลย มีเบ้ากระดูกฟันที่ยึดมั่นคงแข็งแรง และให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการใส่ฟันปลอมแน่นอน


ข้อควรปฏิบัติหลังจากการรักษา ?

1.    ภายหลังจากการรักษารากฟันมาใหม่ๆ โดยเฉพาะคนที่ทำการรักษารากฟันเป็นครั้งแรก อาจจะมีอาการเจ็บมากใน 1-2 วันแรกหลังจากทำการรักษา แล้วจะค่อยๆหายไปเอง

2.    ควรระวังการใช้งานของฟันซี่ที่ได้ทำการรักษารากฟัน เนื่องจากปริมาณของเนื้อฟันจะเหลือน้อยลง และฟันจะมีความเปราะบางมากขึ้น เวลาเคี้ยวของแข็งจึงควรระวังเป็นพิเศษ แต่ไม่ควรที่จะเลี่ยงการเคี้ยวข้างที่ทำการรักษา เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง

3.    หลังจากที่ได้ทำการรักษา หากว่าที่อุดฟันหลุดออก คนไข้ควรรีบไปหาทันตแพทย์ที่ทำการรักษาให้เร็วที่สุด เนื่องจากว่าเชื้อโรคต่างๆในช่องปาก มีโอกาสเข้าไปที่โพรงประสารทได้

4.    การรักษารากฟัน ถือได้ว่าเป็นการรักษาต่อเนื่อง จึงควรอย่างยิ่งที่จะไปหาทันตแพทย์ตามที่นัดเสมอ ไม่ควรผลัดวัน เพราะหากว่าช้าเพียงไม่กี่วัด หรือผิดนัดแค่เพียงครั้งสองครั้ง ก็อาจจะทำให้ต้องถอนฟันซี่ที่กำลังทำการรักษาออกได้


อาการข้างเคียง “ปวด” หลังการรักษา !

หลังจากที่ได้ทำการรักษารากฟัน มักจะพบอาการปวดได้ 2 กรณี คือ การปวดในระหว่างการรักษา และ อาการปวดหลังการรักษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ต้องบอกเลยว่าอาการปวดในระหว่างการรักษา ยิ่งระหว่างการรักษาครั้งแรก ยิ่งพบได้บ่อยในคนไข้เกือบทุกราย และอาจมีร่วมกับอาการบวมของเหงือกด้วย ซึ่งหากมีอาการต่างๆดังนี้ ทันตแพทย์มักจะเปิดโพรงที่กรอไว้ก่อนเพื่อให้เกิดการระบาย และจึงเริ่มใส่ยาพร้อมทั้งจะปิดโพรงในครั้งต่อไป ซึ่งจะทำให้การรักษานั้นยืดเยื้อไปอีก

อาการปวดหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ก็อาจจะพบได้ในคนไข้บางราย ซึ่งถ้าหากว่าไม่ได้ปวดมาก ทันตแพทย์จะทำการล้างทำความสะอาด ขยายรากฟัน หรือกำจัดเส้นประสาทให้หมด ซึ่งจะทำให้หายปวดได้ แต่หากว่ามีอาการบวมควบคู่ด้วย อาจจะต้องเปิดระบาย พร้อมทั้งให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังจากทำการรักษาเสร็จ อาจเกิดมาจากคลองรากฟันยังไม่สะอาดแล้วทำการอุด ขยายคลองรากฟันไม่หมด หรือมีฟันแตก ซึ่งหากพบปัญหาเหล่านี้อาจจะต้องทำการรื้อแล้วรักษาใหม่ หรือถ้าโชคร้ายจริงๆ ไม่สามารถทำการรักษาได้ ก็จำเป็นจะต้องถอนฟันซี่นั้นออกในที่สุดนั่นเอง

10
การแยกแยะ ประเภทของผ้ากันไฟ ให้เหมาะต่อการใช้งาน

การเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าผ้ากันไฟจะสามารถป้องกันอันตรายจากไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ้ากันไฟมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

1. ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Cloth):

คุณสมบัติ:
ทนความร้อนได้ดี (ประมาณ 550 องศาเซลเซียส)
ราคาไม่แพง
มีความทนทาน
อาจทำให้เกิดอาการคันระคายเคือง

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ต้องการป้องกันสะเก็ดไฟและความร้อน
ใช้ในงานเชื่อมโลหะ งานตัดโลหะ และงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน
ใช้เป็นผ้าห่มดับไฟขนาดเล็ก


2. ผ้าซิลิก้า (Silica Cloth):

คุณสมบัติ:
ทนความร้อนได้สูงกว่าผ้าใยแก้ว (ประมาณ 1000 องศาเซลเซียส)
มีความแข็งแรงและทนทาน
ไม่ทำให้เกิดอาการคันระคายเคือง

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานเป็นพิเศษและสัมผัสความร้อนสูง
ใช้ในงานเชื่อมโลหะหนัก งานหลอมโลหะ และงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูง
ใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการป้องกันความร้อนสูง


3. ผ้าอะรามิด (Aramid Cloth):

คุณสมบัติ:
มีความแข็งแรงและทนความร้อนสูง
ทนทานต่อการฉีกขาด
มีน้ำหนักเบา

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานเป็นพิเศษและน้ำหนักเบา
ใช้ในชุดป้องกันไฟสำหรับนักดับเพลิง และชุดป้องกันความร้อนในอุตสาหกรรม


4. ผ้าเซรามิก (Ceramic Fiber Cloth):

คุณสมบัติ:
ทนความร้อนได้สูงมาก (มากกว่า 1260 องศาเซลเซียส)
เป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี
มีน้ำหนักเบา

การใช้งาน:
ใช้ในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการป้องกันความร้อนสูงมาก เช่น เตาเผา และงานหลอมโลหะ
ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนในอุปกรณ์ต่างๆ


การเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน:

พิจารณาประเภทของงาน: เลือกผ้ากันไฟที่ทนความร้อนและป้องกันสะเก็ดไฟได้เหมาะสมกับประเภทของงาน
พิจารณาอุณหภูมิ: เลือกผ้ากันไฟที่ทนความร้อนได้สูงกว่าอุณหภูมิที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
พิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติม: เลือกผ้ากันไฟที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น ความยืดหยุ่น ความทนทานต่อสารเคมี และมาตรฐานรับรอง
พิจารณาแหล่งซื้อ: เลือกซื้อผ้ากันไฟจากร้านค้าหรือผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้

11
หมอประจำบ้าน: ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)/พิษจากไทรอยด์/คอพอกเป็นพิษ (Thyrotoxicosis/Toxic goiter)

ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism) หมายถึง ภาวะที่ต่อมไทรอยด์มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินปกติ กระตุ้นให้อวัยวะทั่วร่างกายมีการเผาผลาญ (catabolism) สูงกว่าปกติ เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ขึ้นมา

อาการเจ็บป่วยที่เนื่องจากภาวะมีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินดังกล่าว เรียกว่า ภาวะพิษจากไทรอยด์ (thyrotoxicosis) ซึ่งอาจเกิดจากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือภาวะอื่น ๆ ก็ได้

ส่วนผู้ที่มีอาการคอพอก (ต่อมไทรอยด์โต) ซึ่งมีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน และเกิดภาวะพิษจากไทรอยด์ เรียกว่า คอพอกเป็นพิษ (toxic goiter)

ภาวะพิษจากไทรอยด์ เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5-10 เท่า

สาเหตุ

ภาวะพิษจากไทรอยด์ มีสาเหตุที่พบบ่อย ดังนี้

1. โรคเกรฟส์ (Graves’ disease) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณร้อยละ 60-80 ของผู้ที่มีภาวะเป็นพิษจากไทรอยด์ทั้งหมด) พบมากในคนอายุ 20-40 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5-10 เท่า ผู้ป่วยมักมีต่อมไทรอยด์โตลักษณะแบบกระจาย (diffuse toxic goiter) และมักมีอาการตาโปนร่วมด้วย โรคนี้จัดเป็นโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง ซึ่งพบมีการสร้างสารภูมิต้านทานต่อไทรอยด์ (thyroid antibody) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ thyroid stimulating immunoglobulin (TSI) ซึ่งจะไปจับกับตัวรับฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (TSH) ที่ต่อมไทรอยด์ กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนออกมาโดยอยู่นอกเหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง ทำให้มีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน จนเกิดภาวะพิษจากไทรอยด์

สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางเพศ (พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย) และกรรมพันธุ์ (พบว่ามีประวัติพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) นอกจากนี้ยังพบว่า ความเครียดมีส่วนกระตุ้นให้โรคกำเริบ

โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง บางรายอาจมีระยะสงบ (หายจากอาการเจ็บป่วย) แต่ก็อาจกำเริบได้ใหม่

ผู้ที่เป็นโรคเกรฟส์ พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ เช่น ไมแอสทีเนียเกรวิส เบาหวานชนิดที่ 1 โรคแอดดิสัน ผมร่วงเป็นหย่อม ภาวะอัมพาตครั้งคราวจากโพแทสเซียมในเลือดต่ำ เป็นต้น

2. คอพอกเป็นพิษชนิดหลายปุ่ม (toxic multinodular goiter) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า โรคพลัมเมอร์ (Plummer’s disease) เป็นภาวะที่มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ผู้ป่วยจะมีอาการคอพอกลักษณะโตเป็นปุ่มหลายปุ่ม มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์โดยอยู่นอกเหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง

3. เนื้องอกไทรอยด์ชนิดเป็นพิษ (toxic thyroid adenoma) เป็นภาวะที่พบได้น้อยกว่า 2 ชนิดดังกล่าว ต่อมไทรอยด์มีลักษณะโตเป็นก้อนเนื้องอกเดี่ยว ขนาดมากกว่า 2.5 ซม. ซึ่งมีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์โดยอยู่นอกเหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง

4. ต่อมไทรอยด์อักเสบ ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ (ดู โรคต่อมไทรอยด์อักเสบ) ในระยะแรกเนื้อเยื่อที่อักเสบจะมีการปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ที่สะสมอยู่ในต่อมไทรอยด์ (ในปริมาณที่สร้างตามปกติ) ออกมาในกระแสเลือดมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดภาวะพิษจากไทรอยด์ขึ้นมา ส่วนใหญ่มักจะเป็นอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นอาจมีภาวะขาดไทรอยด์ อย่างถาวรตามมา

5. สาเหตุอื่น ๆ ที่พบได้น้อย เช่น

    เนื้องอกต่อมใต้สมอง ที่มีการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์มากเกิน
    เนื้องอกรังไข่ชนิด dermoid cyst (ดู โรคเนื้องอกรังไข่) บางรายอาจมีเนื้อเยื่อไทรอยด์สามารถหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะพิษจากไทรอยด์
    ครรภ์ไข่ปลาอุก ที่มีการหลั่งฮอร์โมนเอชซีจี (HCG) ออกมาจำนวนมาก ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานเกินได้
    การใช้ฮอร์โมนไทรอยด์ (ไทร็อกซีน) ขนาดสูงในการบำบัดโรค เช่น ภาวะขาดไทรอยด์ ปุ่มไทรอยด์ เป็นต้น
    ผลข้างเคียงจากยา ที่พบบ่อยได้แก่ อะมิโอดาโรน (amiodarone) ซึ่งเป็นยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะยานี้มีส่วนผสมของไอโอดีน ถ้าใช้ในขนาดสูงอาจกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้นและอาจทำให้ต่อมไทรอยด์อักเสบ จึงมีผลทำให้เกิดภาวะพิษจากไทรอยด์ได้ พบได้ประมาณร้อยละ 2.5 ของผู้ที่ใช้ยานี้
    การได้รับสารไอโอดีนมากเกินไป ซึ่งอาจอยู่ในอาหารหรือยาที่บริโภค ซึ่งจะกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ ทำงานเกินได้


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ มือสั่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงานละเอียด เช่น เขียนหนังสือ งานฝีมือ) ใจหวิว ใจสั่น อาจมีอาการ เจ็บหน้าอก

มักจะมีความรู้สึกขี้ร้อน คือ ชอบอากาศเย็นมากว่าอากาศร้อน เหงื่อออกง่าย ฝ่ามือมีเหงื่อชุ่มตลอดเวลา

น้ำหนักตัวจะลดลงรวดเร็ว โดยที่ผู้ป่วยกินได้ปกติหรืออาจกินจุขึ้นกว่าเดิมด้วยช้ำ ทั้งนี้เพราะร่างกายมีการเผาผลาญอาหารมาก (บางคนอาจกินมากขึ้นจนน้ำหนักไม่ลด หรือกลับมากขึ้นก็ได้)

ผู้ป่วยมักมีลักษณะอยู่ไม่สุข ชอบทำโน่นทำนี่ บางทีดูเป็นคนขี้ตื่น หรือท่าทางหลุกหลิก หรืออาจมีอาการหงุดหงิด โมโหง่าย นอนไม่หลับ หรืออารมณ์ซึมเศร้า

บางรายอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยคล้ายท้องเดิน หรือคลื่นไส้อาเจียน

บางรายอาจมีอาการหูอื้อ หูตึง กล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขาไม่มีแรง กลืนลำบาก หรือมีภาวะอัมพาตครั้งคราวจากโพแทสเซียมในเลือดต่ำ

ผู้หญิงบางรายอาจมีประจำเดือนน้อย หรือไม่สม่ำเสมอ หรือขาดประจำเดือน


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย โรคหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่เป็นความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งอยู่ก่อน

บางรายอาจมีอาการของอัมพาตครั้งคราว

ในรายที่ตาโปนมาก ๆ อาจทำให้กระจกตาดำเป็นแผล และสายตาพิการได้

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจมีภาวะกระดูกพรุน แคลเซียมในเลือดสูง ผู้ชายอาจมีอาการนมโต (gynecomastia) ลดจำนวนอสุจิ รวมทั้งความรู้สึกทางเพศลดลง

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจเกิดภาวะไทรอยด์วิกฤติ (thyroid crisis) มีอาการไข้สูง หัวใจเต้นเร็วมาก อาเจียน ท้องเดิน มีภาวะขาดน้ำ และอาจเกิดภาวะช็อก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะเป็นอันตรายถึงตายได้ มักเกิดเมื่อมีภาวะเครียด เป็นโรคติดเชื้อ ขณะผ่าตัดฉุกเฉิน ขณะอายุครรภ์มาก หรือขณะคลอด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ผู้ป่วยมักจะมีอาการคอพอก ในรายที่เป็นโรคเกรฟส์ ต่อมไทรอยด์มีลักษณะบวมโตแบบกระจาย (ไม่เป็นปุ่ม) คลำดูมีลักษณะหยุ่น ๆ เมื่อใช้เครื่องฟังตรวจที่ต่อมไทรอยด์อาจได้ยินเสียงฟู่ (bruit) แต่บางรายอาจไม่เห็นอาการคอโตชัดเจนก็ได้ (ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคพลัมเมอร์ คอพอกมีลักษณะเป็นปุ่มหลายปุ่ม และผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกไทรอยด์จะคลำได้ก้อนเนื้องอกขนาดมากกว่า 2.5 ซม.)

ชีพจรมักจะเต้นเร็ว ประมาณ 100-130 ครั้ง/นาที และอาจเต้นไม่สม่ำเสมอหรือไม่เป็นจังหวะ

ความดันช่วงบน มักจะสูงกว่าปกติ

มักมีอาการมือสั่น (ตรวจโดยบอกให้ผู้ป่วยเหยียดแขนไปข้างหน้า ให้ขนานกับพื้น และกางนิ้วมือออก ถ้าเห็นไม่ชัด ให้ใช้แผ่นกระดาษบาง ๆ วางไว้บนมือ ดูว่ากระดาษสั่นหรือไม่) และอาจมีอาการลิ้นสั่น

ผิวหนังมักมีลักษณะเรียบนุ่ม และมีเหงื่อชุ่ม เส้นผมมีลักษณะละเอียด

บางรายอาจมีอาการฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุมนิ้วปุ้ม รีเฟล็กซ์ของข้อไว้กว่าปกติ

ในผู้ป่วยโรคเกรฟส์ อาจพบหนังตาบวม หนังตาบนหดรั้งขึ้นไป ถ้าให้เห็นตาขาวด้านบนชัดดูคล้ายทำตาจ้องดูอะไร หรือตาดุ ผู้ป่วยอาจมีอาการตาโปน (exophthalmas) เนื่องจากมีการสะสมของสารมิวโคโพลีแซ็กคาไรด์ (mucopolysaccharide) และเนื้อเยื่อน้ำเหลือง บางรายอาจมีอาการเห็นภาพซ้อนเนื่องจากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาเคลื่อนไหวลำบากและไม่ประสานกัน นอกจากนี้อาจพบผิวหนังเป็นปื้นหนาออกแดง ๆ และคัน (เนื่องจากการสะสมของสารและเนื้อเยื่อน้ำเหลืองเช่นเดียวกับที่ตา) ซึ่งมักพบที่บริเวณหน้าแข้งเรียกว่า “Pretibial myxedema”

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของไทรอยด์ (จะพบค่า T4, free T4, T3 และ free T3 สูงกว่าปกติ และค่า TSH ต่ำกว่าปกติ) ตรวจหาสารภูมิต้านทานต่อไทรอยด์ (thyroid antibody) อาจต้องทำสแกนต่อมไทรอยด์ (thyroid scan) ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ปอด และอาจตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. โดยทั่วไปมักจะให้การรักษาด้วยยาเป็นหลัก โดยการให้ยาต้านไทรอยด์ (antithyroid drug) ซึ่งจะกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ ที่ใช้บ่อยคือ เมทิมาโซล (methimazole) หรือโพรพิลไทโอยูราซิล (propylthiouracil) นานประมาณ 18-24 เดือน แล้วลองหยุดยา

ระหว่างการรักษาควรเจาะเลือดตรวจดูระดับของฮอร์โมนไทร็อกซีนเป็นระยะๆ

ผลการรักษา ส่วนมากมักจะหายขาด แต่ส่วนน้อยอาจมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรจะให้ยารักษาใหม่อีก

บางรายอาจกินยาวันละเม็ดควบคุมอาการไปเรื่อยๆ

นอกจากยาต้านไทรอยด์แล้วอาจให้ยาบรรเทาอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ อาหารใจสั่น มือสั่น

ส่วนยาต้านไทรอยด์ อาจมีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ กดการสร้างเม็ดเลือดขาว ทำให้มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (agranulocytosis) ซึ่งทำให้ร่างกายเป็นโรคติดเชื้อง่าย (มีอาการไข้ เจ็บคอ หรือปากเปื่อยบ่อย ๆ) และอาจติดเชื้อรุนแรงเป็นอันตรายได้ พบได้ประมาณร้อยละ 0.5 (1 ใน 200) ของผู้ที่กินยานี้ มักจะเกิดในระยะ 2 เดือนแรก หลังจากเริ่มกินยานี้ ดังนั้นจึงควรตรวจเลือดสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ถ้ามีภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นควรหยุดยาทันที แล้วเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นปกติได้เอง

2. แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์หรือสารไอโอดีนกัมมันตรังสี (radioactive iodine/I131) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านไทรอยด์ มีอาการกำเริบซ้ำบ่อย มีความไม่สะดวกในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง หรือมีอาการแพ้ยา รวมทั้งในรายที่มีอาการรุนแรงมาก

การผ่าตัด มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี หรือต่อมไทรอยด์โตมาก หรือกดอวัยวะข้างเคียง เป็นเนื้องอกไทรอยด์หรือต่อมไทรอยด์เป็นก้อนเดี่ยว ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง

ภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดที่สำคัญได้แก่ ภาวะเลือดออก ซึ่งอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ภาวะขาดพาราไทรอยด์ (hypoparathyroidism) เนื่องจากตัดถูกต่อมพาราไทรอยด์ซึ่งอยู่ติดกับต่อมไทรอยด์ การตัดถูกเส้นประสาทกล่องเสียง (recurrent laryngeal nerve) ทำให้สายเสียงเป็นอัมพาต มีอาการเสียงแหบอย่างถาวร

ในรายที่ผ่าตัดเนื้อเยื่อไทรอยด์ออกน้อยไป ก็อาจมีอาการต่อมไทรอยด์ทำงานเกินกำเริบซ้ำได้อีก

ที่พบบ่อย ก็คือ ภาวะขาดไทรอยด์อย่างถาวร เนื่องจากผ่าตัดเนื้อเยื่อไทรอยด์ออกมากเกิน ซึ่งจำเป็นต้องให้ฮอร์โมนไทรอยด์-เลโวไทร็อกซีน (มีชื่อทางการค้า เช่น เอลทร็อกซิน) วันละ 1-2 เม็ด ทดแทนตลอดชีวิต

ส่วนการรักษาด้วยการกินสารไอโอดีนกัมมันตรังสีนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายเนื้อเยื่อไทรอยด์บางส่วน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณฮอร์โมนที่หลั่งลงไป มักใช้สำหรับผู้ป่วยอายุมากกว่า 40 ปีที่ปฏิเสธการผ่าตัด หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นข้อห้ามสำหรับการผ่าตัด (เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ) ก่อนให้สารรังสีดังกล่าว จำเป็นต้องให้ยาต้านไทรอยด์จนระดับฮอร์โมนไทรอยด์กลับสู่ปกติเสียก่อน และมีข้อห้ามในการรักษาโดยวิธีนี้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร ผู้ป่วยที่มีอาการตาโปนรุนแรง ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมาก หรือสงสัยเป็นมะเร็งไทรอยด์

ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยสารรังสี ที่พบที่บ่อยก็คือภาวะขาดไทรอยด์เนื่องจากเนื้อเยื่อไทรอยด์ถูกทำลายมากเกิน ซึ่งจำเป็นต้องให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนเช่นเดียวกับการรักษาด้วยการผ่าตัด

3. ในรายที่มีอาการตาโปน แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการถูกลมและแสงจ้า และให้น้ำตาเทียมหยอดตา หากตาโปนรุนแรง แพทย์อาจรักษาด้วยการให้ยาสเตียรอยด์ บางรายอาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคอโต อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกมาก หิวง่าย น้ำหนักลด ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันกระดูกพรุน (ซึ่งอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้) แต่อย่าให้หักโหมหนักเกิน
    หาทางผ่อนคลายความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเกรฟส์ ซึ่งความเครียดมีผลให้อาการกำเริบได้


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไข้สูง หายใจหอบเหนื่อย ใจสั่นมาก (หัวใจเต้นเร็วมาก) แขนขาอ่อนแรง เท้าบวม หรือท้องเดิน   
    มีอาการอ่อนเพลีย เฉื่อยเนือย น้ำหนักขึ้น หน้าบวม หนังตาบวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่แพทย์รักษาด้วยการผ่าตัดหรือให้กินสารไอโอดีนกัมมันตรังสี
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองและปัจจัยที่ป้องกันไม่ได้

ส่วนน้อยที่อาจเกิดจากการได้รับสารไอโอดีนมากเกินไป หรือการใช้ยา เช่น อะมิโอดาโรน (amiodarone ซึ่งเป็นยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ) ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังไม่ให้มีการรับสารไอโอดีนมากเกิน และเฝ้าระวังดูอาการขณะใช้ยา

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้อาจมีอาการแสดงได้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางครั้งอาจมีอาการคล้ายโรควิตกกังวล หรือโรคแพนิก ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ ควรตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีสาเหตุโรคนี้หรือไม่

2. โรคนี้มีทางรักษาได้ แต่อาจต้องกินยาเป็นปี ๆ ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด

3. ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาต้านไทรอยด์ การกินสารกัมมันตรังสี หรือการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ควรเฝ้าสังเกตอาการของการเกิดภาวะขาดไทรอยด์ (เช่น บวม เฉื่อย เนือย ขี้หนาว) และตรวจดูระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นระยะ หากพบภาวะดังกล่าวควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

12
บริการทำความสะอาด: การทำความสะอาดห้องต่างๆ

บ้าน เป็นที่อยู่อาศัยหลับนอนและเป็นจุดรวมของทุกคนในครอบครัว ไม่ใช่แค่ใช้อยู่อาศัยเท่านั้น แต่บ้านยังมีผลต่อสุขภาพร่างกายของทุกคนในบ้านอีกด้วย ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดให้บ้านสะอาด สวยงามและน่าอยู่เสมอ บ้านโดยทั่วไปจะแบ่งเป็นห้องต่างๆ การทำความสะอาด และดูแลรักษาห้องต่างๆภายในบ้านจึงมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะและการใช้งาน


การทำความสะอาดห้องต่างๆ เช่น

1.    ห้องนอน เป็นห้องส่วนตัวที่ใช้พักผ่อนหลับนอนเราจึงต้องรักษาความสะอาดเป็นประจำ ใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นทั่วๆไปหากมีรอยคราบก็ใช้วิธีเช็ดคราบด้วยน้ำยาทำความสะอาด ส่วนที่นอนหมอน หมอน , ผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม ก็ควรนำไปผึ่งแดดทุกๆสัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรค ส่วนผ้าปูที่นอน,ผ้าห่มและปลอกหมอนควรเปลี่ยนทุกๆ 2-3 วัน และะนำอันเก่าไปซักทำความสะอาด

2.    ห้องนั่งเล่น ทำความสะอาดเป็นประจำเพราะเป็นห้องที่ใช้ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมบ้าน ควรจะเป็นห้องที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก การทำความสะอาด ควรปัดฝุ่นที่เกาะตาม โต๊ะ , ตู้ , โซฟาและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ สวนบริเวณเพดานและผนัง ใช้ไม้กวาดหยากไย่กวาดใยแมงมุมตามมุมต่างๆหรือบริเวณเพดานสัปดาห์ละครั้ง

3.    ห้องครัว ส่วนมากสิ่งที่เจอบ่อยในห้องครัว คือคราบน้ำมันและกลิ่นเหม็น ซึ่งทำให้ผนังสกปรก ควรใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาทำความสะอาดผนังและน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดบ่อยๆ และบริเวณพื้น ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นหรือผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคถูพื้นห้องครัวประจำและทำความสะอาดถังขยะบ่อยๆ เพราะถังขยะนั้นเป็นตัวนำพาเชื้อโรค

4.    ห้องน้ำ ต้องทำความสะอาดเป็นพิเศษก็เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค พื้นที่ใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นห้องน้ำทั่วไปเพื่อขจัดคราบสกปรกที่อยู่ตามร่องพื้น สุขภัณฑ์ในห้องน้ำควรใช้คลอรีนผสมน้ำเปล่าปริมาณเท่าๆกัน เทลงในอ่างล้างหน้าทิ้งไว้ 20-30 นาที ดูดส้วมควรใช้แปรงในน้ำยาทำความสะอาดขัดคราบสกปรกออก

และควรทำความสะอาดสิ่งของใช้ในบ้านอย่างเป็นประจำ จะทำให้สิ่งของในบ้านดูใหม่และสะอาดอยู่เสมอ และการทำความสะอาดเป็นประจำนั้นจะทำให้ทำความสะอาดคราบสกปรกออกได้ง่าย เพราะคราบสกปรกจะไม่เกาะสะสมเป็นเวลานาน หากเราทำความสะอาดอย่างเป็นประจำ

13
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด


ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ


14
เช็ก 6 อาการโรคเบาหวาน และ 10 กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจโรคนี้

แก้อาการเบาหวาน   

การประสบกับอาการเบาหวานเป็นสิ่งที่ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ลำบากมากขึ้น อาการเหล่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่รู้และไม่รู้ตัวว่าตนเป็นเบาหวานแล้ว ซึ่งในประเทศไทยเรามีจำนวนผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมาก ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และไม่ว่าผู้ป่วยแต่ละคนจะป่วยโรคเบาหวานด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม การสังเกตอาการที่ผิดปกติมักเป็นจุดเริ่มต้นที่พาผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษา


6 สัญญาณอาการเบาหวานเริ่มต้น

ผู้ป่วยเบาหวานจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงโดยตรง ซึ่งอาการเบาหวานระยะแรกที่สามารถสังเกตได้มีดังต่อไปนี้

    ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เมื่อมีระดับน้ำตาลสูง ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกผ่านการปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปด้วย จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย คอแห้ง หิวน้ำ
    หิวบ่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถนำเอาน้ำตาลกลูโคสไปส่งให้อวัยวะต่าง ๆ ใช้เป็นพลังงานได้ ร่างกายจะพยายามสลายพลังงานออกมาจากไขมันและกล้ามเนื้อ จึงมีอาการอ่อนเพลีย หิวบ่อย และน้ำหนักลด
    แผลหายยาก มีการติดเชื้อตามผิวหนังง่าย เกิดฝีบ่อย ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคลดลง จึงติดเชื้อได้ง่าย
    คันตามผิวหนัง อาการนี้มีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น ผิวหนังแห้งเกินไป หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้บ่อยในผู้เป็นเบาหวาน
    ตาพร่ามัว มีสาเหตุหลายอย่าง เช่น สายตาสั้นลง ตามัวจากน้ำตาลในเลือดคั่งในตา ต้อกระจก หรือจอประสาทตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน
    ชาปลายมือปลายเท้า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาสักระยะ อาจทำให้เส้นประสาทเสื่อม การรับความรู้สึกลดลง จึงชาหรือไม่รู้สึกเจ็บปวด ทำให้เกิดแผลที่เท้าตามมา


พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเบาหวาน

เมื่อสังเกตอาการที่ผิดปกติได้ใกล้เคียงกับอาการเบาหวานแล้ว สิ่งที่จะยืนยันความผิดปกตินี้ได้คือการตรวจสุขภาพกับแพทย์โดยปกติผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวานก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 70-99 mg/dl และหลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลมักจะไม่เกิน 140 mg/dl

แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงหรือผลตรวจดังต่อไปนี้อาจแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเสี่ยงหรือเป็นโรคเบาหวาน

    กรณีที่มีอาการของโรคเบาหวาน และมีระดับน้ำตาลในเลือด (ในขณะที่อดอาหารหรือไม่ก็ได้) ตั้งแต่ 200 mg/dl ขึ้นไป
    กรณีที่ไม่มีอาการ แต่ระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารเช้า ตั้งแต่ 126 mg/dl ขึ้นไปอย่างน้อย 2 ครั้ง
    กรณีสงสัยว่าเป็นเบาหวาน (มีอาการของเบาหวาน) แต่ระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารเช้าไม่ถึง 126 mg/dl ให้ตรวจเพิ่มเติมโดยการทดสอบดื่มสารละลายน้ำตาลกลูโคส
    ในกรณีที่ระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารเช้าอยู่ระหว่าง 100-125 mg/dl ถือว่ามีระดับน้ำตาลขณะอดอาหารผิดปกติ (Impaired Fasting Plasma Glucose หรือ IFG) ควรตรวจติดตามอาการทุกปี

หมายเหตุ ในการเจาะเลือดตรวจระดับพลาสม่ากลูโคสให้งดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือรับประทานลูกอม (สามารถดื่มน้ำเปล่าได้)

จะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นเบาหวาน อาการเบาหวานมีอะไรบ้าง

ใครควรตรวจโรคเบาหวาน

ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อแรกควรได้รับการตรวจ

หากอายุไม่เกิน 40 และยังไม่มีอาการของโรคเบาหวาน แต่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 23 สำหรับชาวเอเชีย หรือ มากกว่า 25 สำหรับชาวตะวันตก) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานดังต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ข้อ ควรได้รับการตรวจโรคเบาหวาน

    มีญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง
    มีประวัติความทนต่อน้ำตาลบกพร่อง (IGT) หรือระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ (IFG)
    เคยคลอดบุตรทีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 kg
    เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
    มีความดันโลหิตสูงหรือรักษาความดันโลหิตสูงอยู่
    ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ไขมันดี HDL น้อยกว่า 35 mg/dl และ/หรือ ไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 250 mg/dl)
    มีโรคหลอดเลือดตีบแข็ง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดส่วนปลายที่เท้าตีบ
    มีโรคหรือลักษณะบ่งว่ามีภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS) ผิวหนังหนาและดำบริเวณต้นคอ หรือรักแร้ (Acanthosis nigricans)
    ไม่ได้ออกกำลังกาย
    มีเชื้อชาติที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาหวาน เช่น ชาวอินเดีย ชาวหมู่เกาะแปซิฟิก

ในผู้ที่มีผลตรวจปกติ ควรมีการตรวจซ้ำทุก ๆ 3 ปี หรือตามความเหมาะสมที่แพทย์แนะนำ


โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหากละเลยอาการเบาหวาน

หากกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคเบาหวานแล้วไม่ได้รับการตรวจ และการรักษาเบาหวานอย่างเหมาะสม ในระยะยาวอาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้


โรคแทรกซ้อนฉับพลัน

หมายถึงอาการผิดปกติจะเกิดรวดเร็ว รุนแรง ต้องรักษาอย่างรีบด่วน ได้แก่

    ภาวะหมดสติจากน้ำตาลสูงมาก (อาจมีหรือไม่มีกรดคีโตนคั่งในเลือด )
    ภาวะหมดสติจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
    การติดเชื้อ


โรคแทรกซ้อนเรื้อรัง

โรคแทรกซ้อนมักเกิดหลังจากเป็นเบาหวานมานาน โดยมีการตีบแข็งและอุดตันของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งอาจทำไปสู่โรคอันตรายที่สำคัญได้แก่

    หลอดเลือดที่หัวใจตีบ โอกาสเป็นโรคหัวใจ 2-4 เท่าของคนทั่วไป
    หลอดเลือดที่สมองอุดตัน โอกาสเป็นโรคอัมพาต 5 เท่าของคนทั่วไป
    หลอดเลือดที่ไตเสื่อม โอกาสเกิดโรคไตวายขั้นสุดท้าย 20 เท่าของคนทั่วไป
    ตา เลนส์ตาและจอประสาทตาเสื่อม เบาหวานขึ้นตา โอกาสเกิดตาบอด 25 เท่าของคนทั่วไป
    โรคหลอดเลือดตีบที่เท้าและเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ทำให้การรับความรู้สึกผิดปกติซึ่งเป็นผลให้เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย ในบางรายเป็นเหตุให้ต้องตัดขาในที่สุด
    ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม เป็นเหตุให้มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ระบบย่อยอาหารและขับถ่ายผิดปกติ สมรรถภาพทางเพศลดลง

หากใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติแล้วสังเกตถึงอาการแปลก ๆ และคล้ายคลึงกับอาการของผู้ป่วยเบาหวาน การตัดสินใจไปพบแพทย์เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยเราคัดกรองและยืนยันว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่

15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
เรา
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



หน้า: [1] 2 3 ... 20























































กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า