แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 35
1
คุณสมบัติผ้ากันไฟ ป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย

คุณสมบัติ "ป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย" เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผ้ากันไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ผู้คนต้องทำงานใกล้ชิดกับผ้า หรือมีการสัมผัสผ้าบ่อยครั้ง การฟุ้งกระจายของเส้นใยอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตา และระบบทางเดินหายใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความสบายของผู้ปฏิบัติงานครับ


ทำไมเส้นใยถึงฟุ้งกระจายและทำไมต้องป้องกัน?

ผ้ากันไฟหลายชนิดทำมาจากเส้นใยละเอียดสูง เช่น ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Fabric) หรือ ผ้าใยเซรามิก (Ceramic Fiber Fabric) เส้นใยเหล่านี้มีขนาดเล็กมากและอาจแตกหักหรือหลุดลอกออกมาเป็นอนุภาคในอากาศได้ เมื่อเส้นใยเหล่านี้ฟุ้งกระจาย พวกมันสามารถ:

ระคายเคืองผิวหนัง: ทำให้เกิดอาการคัน แดง หรือผื่นแพ้

ระคายเคืองดวงตา: ทำให้เกิดอาการเคืองตา ตาแดง หรือรู้สึกไม่สบาย

ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ: เมื่อหายใจเข้าไป อาจทำให้เกิดอาการไอ เจ็บคอ หรือปัญหาเกี่ยวกับปอดในระยะยาว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเส้นใยที่เล็กมากและสะสมในร่างกาย)

ปนเปื้อนในพื้นที่: อาจไปเกาะตามพื้นผิว อุปกรณ์ หรือผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดปัญหาด้านความสะอาดหรือคุณภาพ

คุณสมบัติผ้ากันไฟที่ช่วยป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย
ผ้ากันไฟที่ออกแบบมาเพื่อลดปัญหาการฟุ้งกระจายของเส้นใยมักจะมีลักษณะพิเศษ หรือมีการเคลือบผิวเพื่อ "กักเก็บ" เส้นใยไว้ภายใน ดังนี้ครับ:


ผ้าใยแก้วเคลือบซิลิโคน (Silicone Coated Fiberglass Fabric):

นี่คือตัวเลือกที่นิยมที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย

กลไก: การเคลือบผิวด้วยซิลิโคนจะสร้างชั้นบางๆ ที่หุ้มเส้นใยแก้วไว้ทั้งหมด ทำให้เส้นใยไม่สามารถหลุดลอกออกมาได้ง่าย

ข้อดีเพิ่มเติม: ผิวสัมผัสจะเรียบเนียนขึ้น ทำให้จับต้องได้โดยไม่ระคายเคือง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความทนทานต่อการขูดขีด, กันน้ำ, ทำความสะอาดง่าย และทนทานต่อสารเคมีบางชนิด

การใช้งาน: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผ้าม่านกันประกายไฟในพื้นที่ที่พนักงานทำงานใกล้ชิด หรือต้องมีการเปิด-ปิดผ้าม่านบ่อยครั้ง รวมถึงการทำฉนวนหุ้มแบบถอดได้

ผ้าใยแก้วเคลือบอื่นๆ (Other Coated Fiberglass Fabrics):

นอกจากซิลิโคนแล้ว ผ้าใยแก้วบางชนิดอาจเคลือบด้วยสารอื่นๆ เช่น PU (Polyurethane), Acrylic หรือ Vermiculite ซึ่งสารเคลือบเหล่านี้ก็ช่วยลดการฟุ้งกระจายของเส้นใยได้เช่นกัน โดยให้คุณสมบัติเสริมที่แตกต่างกันไปตามชนิดสารเคลือบ


ผ้าซิลิก้า (Silica Fabric) ชนิดพิเศษ:

ผ้าซิลิก้าบางชนิดที่ทอแน่นเป็นพิเศษ หรือมีกระบวนการผลิตที่ทำให้เส้นใยยึดเกาะกันได้ดี ก็สามารถลดการฟุ้งกระจายของเส้นใยได้ดีกว่าผ้าใยแก้วที่ไม่มีการเคลือบ อย่างไรก็ตาม ผ้าซิลิก้าส่วนใหญ่จะถูกเลือกใช้เพราะคุณสมบัติการทนความร้อนที่สูงมากเป็นหลัก


โครงสร้างการทอที่แน่นหนา (Tight Weave Structure):

แม้จะไม่มีการเคลือบ แต่ผ้ากันไฟที่ถูกทอด้วยโครงสร้างที่แน่นหนาเป็นพิเศษ ก็สามารถช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นใยได้ในระดับหนึ่ง

ความสำคัญของการป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย:
สุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน: ลดความเสี่ยงของการระคายเคืองและการเจ็บป่วยจากเส้นใย

ความสะดวกสบายในการทำงาน: ทำให้พนักงานสามารถทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้อย่างสบายใจมากขึ้น

ความสะอาดของสภาพแวดล้อม: ลดการปนเปื้อนของเส้นใยในอากาศและบนพื้นผิว

ประสิทธิภาพของผ้าในระยะยาว: การที่เส้นใยไม่หลุดร่วงง่าย ช่วยรักษาโครงสร้างและประสิทธิภาพของผ้าให้คงทนยาวนานขึ้น

เมื่อเลือกใช้ผ้ากันไฟในโรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการสัมผัสโดยตรงหรือมีการใช้งานบ่อยครั้ง การพิจารณาคุณสมบัติ "ป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อสุขอนามัยที่ดีและความปลอดภัยของบุคลากรครับ

2
การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ 

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ฉนวนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและส่งมอบประโยชน์สูงสุดให้กับอาคาร ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน บ้านพักอาศัย หรืออาคารสำนักงานค่ะ การเลือกฉนวนที่ดีเยี่ยมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากการติดตั้งไม่ถูกวิธีหรือไม่ใส่ใจในรายละเอียด เพราะการติดตั้งที่ไม่ดีจะทำให้เกิดช่องว่าง ความชื้นสะสม หรือฉนวนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ซึ่งส่งผลให้สูญเสียคุณสมบัติในการกันความร้อนและสิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์

องค์ประกอบสำคัญของการติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ
เพื่อให้ฉนวนกันความร้อนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน ควรพิจารณาองค์ประกอบเหล่านี้:


1. การเลือกประเภทฉนวนที่เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน

หลังคา: ควรเลือกฉนวนที่ทนความร้อนสูงและสะท้อนรังสีได้ดี เช่น ใยแก้ว, ใยหิน, พียูโฟมแบบพ่น หรือแผ่นสะท้อนความร้อน (Radiant Barrier)

ผนัง: อาจใช้ฉนวนใยแก้ว, ใยหิน หรือพียูโฟมแบบพ่น/แผ่นสำเร็จรูป เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอก

ท่อส่งลม/ท่อน้ำเย็นในระบบปรับอากาศ: เน้นฉนวนที่ป้องกันการควบแน่นได้ดีเยี่ยมและมีความยืดหยุ่นสูง เช่น ยางสังเคราะห์ (NBR Foam) หรือใยแก้วหุ้มฟอยล์

พื้น/ใต้พื้น: อาจใช้ฉนวนพียูโฟม หรือใยแก้ว เพื่อป้องกันความร้อน/ความเย็นจากพื้นดิน


2. การเตรียมพื้นผิวและโครงสร้าง

ความสะอาด: พื้นผิวที่จะติดตั้งฉนวนต้องสะอาด ปราศจากฝุ่นละออง คราบน้ำมัน หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ เพื่อให้ฉนวนยึดเกาะได้ดี (โดยเฉพาะกรณีพ่นโฟม)

ความแห้ง: พื้นผิวต้องแห้งสนิท ปราศจากความชื้น หากพื้นผิวมีความชื้น ฉนวนบางประเภทอาจอมน้ำและประสิทธิภาพลดลง หรือเกิดเชื้อราในระยะยาว

การซ่อมแซม: ตรวจสอบโครงสร้างว่าไม่มีรอยรั่ว ซึม หรือความเสียหาย หากพบควรรีบซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนการติดตั้ง


3. การติดตั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

ความรู้และประสบการณ์: ช่างควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของฉนวน วิธีการติดตั้งที่ถูกต้อง และข้อจำกัดของฉนวนแต่ละชนิด

ความแม่นยำ: การติดตั้งต้องทำอย่างแม่นยำและละเอียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างหรือรอยต่อที่ความร้อนสามารถรั่วไหลผ่านได้ (Thermal Bridge)

การใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม: ช่างต้องมีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้งานออกมาเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ


4. การปิดรอยต่อและช่องว่าง (Sealing and Gaps)

รอยต่อต้องสนิท: การติดตั้งฉนวนทุกประเภทต้องมั่นใจว่ารอยต่อระหว่างแผ่นหรือม้วนฉนวนนั้นสนิทกันดี ไม่มีช่องว่าง

การใช้วัสดุปิดรอยต่อ: ใช้เทปอลูมิเนียมฟอยล์ หรือวัสดุปิดรอยต่อเฉพาะสำหรับฉนวนแต่ละประเภท เพื่อให้การป้องกันความร้อนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ตามขอบ/มุม: ต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับการติดตั้งตามขอบ มุม หรือบริเวณที่มีโครงสร้างซับซ้อน เพื่อป้องกันการเกิดช่องว่าง


5. การระบายอากาศใต้หลังคา (สำหรับฉนวนหลังคา)

แม้จะติดตั้งฉนวนดีแค่ไหน หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีใต้หลังคา ความร้อนก็ยังคงสะสมอยู่ได้ การมีช่องระบายอากาศ (Ventilation) จะช่วยให้อากาศร้อนใต้หลังคาไหลเวียนออกไปได้ ลดภาระของฉนวน


6. การป้องกันความชื้นและน้ำ (Moisture Barrier)

สำหรับฉนวนบางประเภทที่ไวต่อความชื้น เช่น ใยแก้ว ควรมีการติดตั้งแผ่นกันความชื้น (Vapor Barrier) เพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ไอน้ำในอากาศซึมเข้าไปในฉนวน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง


7. การป้องกันความเสียหายในระยะยาว

การปกป้องจากปัจจัยภายนอก: หากฉนวนติดตั้งอยู่ในบริเวณที่อาจโดนน้ำ แมลง หรือสัตว์รบกวน ควรมีวัสดุปกป้องเพิ่มเติม เช่น แผ่นปิดกั้น หรือการเคลือบผิวฉนวน

ประโยชน์ของการติดตั้งฉนวนคุณภาพสูง
ประหยัดพลังงานสูงสุด: ระบบปรับอากาศทำงานน้อยลง ค่าไฟฟ้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด

อุณหภูมิคงที่และสม่ำเสมอ: ภายในอาคารจะเย็นสบายทั่วถึง ไม่มีการรั่วไหลของความร้อนหรือความเย็น

ลดปัญหาการควบแน่น: ป้องกันการเกิดหยดน้ำเกาะที่อาจสร้างความเสียหายและเชื้อรา

อายุการใช้งานยาวนาน: ฉนวนจะคงประสิทธิภาพได้เต็มที่ตามที่ออกแบบไว้ ไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร

ลดค่าบำรุงรักษา: ลดความจำเป็นในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนฉนวนบ่อยครั้ง

การลงทุนกับการติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนในระยะยาว ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และการยืดอายุการใช้งานของระบบต่างๆ ภายในอาคารค่ะ

3
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
ระวัง “แผลกดทับ” ในผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารสายยาง !

การเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง เป็นเรื่องปกติ ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยที่นอนติดเตียงและไม่รู้สึกตัว การเกิดแผลกดทับยิ่งพบได้บ่อยมาก สำหรับการเกิดแผลกดทับ คือ การได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออันเกิดจากแรงกดทับที่ผิวหนังเป็นเวลานาน ยกตัวอย่างเช่นผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว นอนติดเตียงเป็นเวลานาน หรือผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง เช่น เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยแผลกดทับมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่หุ้มกระดูก เช่น ส้นเท้า ข้อเท้า สะโพก หรือกระดูกก้นกบ ผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพอันส่งผลต่อการเคลื่อนไหวหรือการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้ต้องนอนอยู่บนเตียงหรือนั่งรถเข็นตลอดเวลาเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ รวมไปถึงผู้สูงอายุด้วย

เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายและผิวหนังที่เสื่อมลงตามอายุ แผลกดทับเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้วรักษาให้หายได้ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจรักษาให้หายขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เสี่ยงเกิดแผลกดทับควรดูแลรักษาตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าว ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว หรือผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง ผู้ดูแลจะต้องหมั่นเปลี่ยนอิริยาบถให้กับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงให้ผู้ป่วยนอนนิ่งเป็นเวลานานๆ

การเกิดแผลกดทับนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้ดูแลจะต้องคอยสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติที่ผู้ป่วยจะเกิดแผลกดทับ ควรขยับร่างกายปรับเปลี่ยนท่าทาง เพื่อบรรเทาแรงกดทับตรงบริเวณดังกล่าว และควรปรึกษาแพทย์ทันที หากอาการไม่ดีขึ้นหรือเกิดอาการติดเชื้อ เช่น ไข้ขึ้น มีของเหลวซึมมาจากแผล มีกลิ่นผิดปกติที่แผล หรือรอยแดงมากขึ้น อาการอุ่น ๆ และอาการบวมของแผลเพิ่มขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที แผลกดทับในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง ก็สามารถเกิดขึ้นได้

ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยที่นอนติดเตียง หรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถขยับร่างกายได้ ก็จะพบได้บ่อย ผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยางโดยผ่านทางหน้าท้อง ซึ่งเป็นผู้ป่วยในกลุ่มที่ขยับร่างกายได้ไม่มาก เนื่องจากมีสายยางให้อาหารอยู่บริเวณหน้าท้อง หากเคลื่อนไหวมาก อาจจะส่งผลให้สายยางให้อาหารเกิดการหลุดได้ แต่ถ้าหากผู้ป่วยสามารถรู้สึกตัวได้ดี ผู้ดูแลควรจะช่วยเปลี่ยนท่านั่งท่านอนให้ผู้ป่วยเป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ รวมไปถึงระบบการขับถ่ายและปัสสาวะ ผู้ป่วยที่ประสบภาวะกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้จะมีผิวหนังบางส่วนที่อับชื้น ซึ่งทำให้ติดเชื้อได้ง่ายส่งผลให้ผิวหนังที่อับชื้นทำให้เกิดแผลกดทับตามมาด้วย

นอกจากนี้แผลกดทับยังมีสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นได้อีกหลายอย่าง ถ้าทางในเรื่องของการโภชนาการแล้ว การที่ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ไม่ดี ก็สามารถทำให้เกิดแผลกดทับได้เช่นกัน ทั้งนี้โภชนาการไม่ดีเป็นสาเหตุที่ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการร่างกายอาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ ภาวะที่ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ การกลืนลำบาก ปัญหาเกี่ยวกับการกลืนอาหารที่ทำให้กลืนอาหารได้ยาก ปัญหาสุขภาพบางอย่าง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางอย่างอาจเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย โดยปัญหาสุขภาพที่เอื้อให้เกิดแผลกดทับนั้นประกอบด้วย เช่นเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายด้วย ทำให้เกิดเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน ผู้ป่วยโรคนี้ประสบภาวะเลือดไปเลี้ยงที่ขาไม่ได้

เนื่องจากเกิดการอุดตันของไขมันที่หลอดเลือดแดงหัวใจวาย ผู้ที่ประสบภาวะหัวใจวายเกิดจากการที่ร่างกายสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอ ไตวาย ผู้ป่วยไตวายจะสูญเสียสมรรถภาพการทำงานของไต ส่งผลให้เกิดสารพิษในเลือด ซึ่งก่อให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เกิดแผลกดทับได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ดูแลผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง หรือผู้ป่วยที่ติดเตียง ต้องคอยสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ หรือการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆในผู้ป่วยด้วย

6
บริการทำความสะอาด: แนะนำ 8 วิธีทำความสะอาดห้องนอน ให้สะอาดน่าอยู่

การดูแลห้องนอนให้สะอาด และเป็นระเบียบอยู่เสมอจะช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย และจิตใจของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว ทั้งช่วยลดอาการภูมิแพ้ ทำให้นอนหลับสบายขึ้น ลดความเครียดและวิตกกังวล สามารถหาของได้ง่าย และข้อดีอื่นๆ อีกมากมาย จะพามารู้จักวิธีทำความสะอาดห้องนอนแบบมืออาชีพ เพื่อห้องนอนที่สะอาด และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

แนะนำ 8 วิธีทำความสะอาดห้องนอน

การทำความสะอาดห้องนอนอย่างถูกเหมาะสมจะช่วยให้ห้อง และของใช้ต่างๆ สะอาดมากยิ่งขึ้น โดยมีวิธีการดังนี้

1. เก็บขยะและของที่ไม่ใช้

ขั้นตอนแรกให้เริ่มจากการเก็บขยะและของที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อให้สามารถทำความสะอาด และจัดระเบียบห้องได้สะดวกขึ้น

2. ซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และผ้าห่ม

ต่อมาให้ถอดปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และผ้าห่มออกเพื่อนำไปซัก ซึ่งสามารถนำปลอกหมอนอิง หรือตุ๊กตาที่อยู่บนเตียงไปซักพร้อมกันได้ โดยแนะนำให้นำหมอน และที่รองนอนไปผึ่งแดดไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค แบคทีเรีย และกลิ่นอับ

3. ทำความสะอาดเพดาน

นำผ้ามาคลุมเตียงและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แล้วกวาดหยากไย่ และฝุ่นที่อยู่บนเพดานลงมา ในกรณีที่มีพัดลม หรือโคมไฟติดเพดานด้วย ให้นำผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดบริเวณที่มีฝุ่นออก

4. ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์และชั้นวางของติดผนัง

เฟอร์นิเจอร์อย่างชั้นวางหนังสือ ตู้เสื้อผ้า และตู้เก็บของมักมีฝุ่นสะสมอยู่ด้านบน โดยให้นำผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดฝุ่นออกจากพื้นผิวของเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงชั้นวางของติดผนังด้วยเช่นกัน

5. ทำความสะอาดพื้นและพรม

การทำความสะอาดพื้นสามารถเลือกใช้ได้ทั้งไม้กวาดและเครื่องดูดฝุ่น แต่การทำความสะอาดพรมแนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่น เพราะแรงดูดจะช่วยดึงอนุภาคฝุ่นที่ฝังอยู่ในพรมออกมาได้ อย่างไรก็ตาม หากพรมสกปรกมาก เช่น มีคราบน้ำหรืออาหาร แนะนำให้นำพรมไปซัก และตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง

หลังจากทำความสะอาดฝุ่นบนพื้นแล้ว แนะนำให้ทำการถูพื้นอีกครั้ง เพื่อให้พื้นเงาสวย ลดการสะสมของไรฝุ่น และคราบสกปรกที่ฝังแน่น โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งผ้าถูพื้นสำเร็จรูป หรือผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดพื้นบิดหมาด

6. นำผ้าม่านไปซัก

ผ้าม่านเป็นอีกหนึ่งแหล่งสะสมของไรฝุ่นในห้องนอน โดยให้นำผ้าม่านไปซักทำความสะอาด แต่ไม่ควรซักรวมกับเสื้อผ้าและชุดเครื่องนอนต่างๆ เพราะอาจทำให้เสื้อผ้า และชุดเครื่องนอนสกปรกตามไปด้วย

7. เช็ดกระจกเงาและหน้าต่าง

เมื่อมีฝุ่นสะสมอยู่บนกระจกเงา และหน้าต่างที่โปร่งใสจะสามารถมองเห็นเป็นคราบสกปรกได้ชัดเจน โดยให้เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือฟองน้ำ ซึ่งควรใช้คู่กับน้ำยาทำความสะอาดกระจก

8. จัดระเบียบของใช้ต่างๆ

ของใช้ที่วางระเกะระกะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห้องดูรกและไม่เป็นระเบียบ โดยควรจัดเรียง หรือจัดเก็บของเหล่านี้ให้เข้าที่ เช่น เก็บเครื่องนุ่งห่มในตู้เสื้อผ้าหรือตะกร้า เก็บเครื่องสำอางในลิ้นชักหรือชั้นวาง และเก็บหนังสือไว้บนชั้นวางหนังสือ ซึ่งจะช่วยให้ห้องดูเป็นระเบียบ และสามารถหาของได้ง่ายเมื่อต้องการใช้งาน

การทำความสะอาดห้องนอนมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำความสะอาดส่วนอื่นๆ ของบ้าน เพราะคนเราใช้เวลาพักผ่อนในห้องนอนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง
ควรทําความสะอาดห้องนอนสัปดาห์ละกี่ครั้ง?

ความถี่ในการทำความสะอาดห้องนอนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

1. การทำความสะอาดเล็ก

การทำความสะอาดเล็ก คือ การทำความสะอาดประจำวัน เช่น จัดระเบียบของที่นำออกมาใช้งานให้เข้าที่ พับผ้าห่มให้เป็นระเบียบ และเปิดผ้าม่านให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องนอน เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและกลิ่นอับ

2. การทำความสะอาดทั่วไป

การทำความสะอาดทั่วไป คือ การทำความสะอาด 2-3 วันต่อสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดพื้น ดูดฝุ่น ถูพื้น และเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ

3. การทำความสะอาดใหญ่

การทำความสะอาดใหญ่ คือ การทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง อาทิ การซักปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน ดูดฝุ่นในจุดที่เข้าถึงยาก และเช็ดหน้าต่างและกระจก

โดยควรซักผ้าม่านทุก 3-6 เดือน ในขณะที่ผ้าห่ม หรือผ้านวมควรซักทุก 1-2 เดือน ทั้งนี้ ความถี่ในการทำความสะอาดห้องนอนของแต่ละบ้านอาจแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอาจต้องกวาดพื้น ดูดฝุ่น และถูพื้นเป็นประจำทุกวัน

อุปกรณ์ทําความสะอาดห้องนอน มีอะไรบ้าง?

การทำความสะอาดห้องพัก หรือห้องนอนจำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ทำความสะอาดหลายชนิด ได้แก่

1. ไม้กวาดและที่ตักผง

ใช้สำหรับกวาดฝุ่นและเศษผงบนพื้นห้อง

2. ไม้ถูพื้น น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือผ้าถูพื้นสำเร็จรูป

ใช้สำหรับถูพื้นห้อง โดยสามารถเลือกใช้ไม้ถูพื้นคู่กับน้ำยาทำความสะอาด หรือผ้าถูพื้นสำเร็จรูปได้

3. เครื่องดูดฝุ่น

ใช้สำหรับดูดฝุ่นบนพื้น พรม เฟอร์นิเจอร์ และซอกมุมต่างๆ ที่ไม้กวาดเข้าถึงได้ยาก

4. ผ้าไมโครไฟเบอร์

ใช้สำหรับเช็ดฝุ่น และคราบสกปรกบนเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ กระจกเงา และหน้าต่าง

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จะช่วยให้ทำความสะอาดห้องนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น อาทิ ถุงมือยาง น้ำยาฆ่าเชื้อโรค บันได ผ้ากันเปื้อน ที่ปัดน้ำฝน ฟองน้ำ แปรงขัด และอื่นๆ

การทำความสะอาดห้องนอนต้องอาศัยทั้งแรงกายและเวลา โดยเฉพาะการทำความสะอาดใหญ่ ส่งผลให้บริการทำความสะอาดจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีวิธีทำความสะอาดห้องนอนแบบมืออาชีพ ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ และใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน

7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

โรคพิษสุนัขบ้า (โรคกลัวน้ำ) เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่ยังไม่มีทางเยียวยารักษา แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนทั้งก่อนและหลังการสัมผัสโรค

ผู้ป่วยทุกรายที่มีอาการแสดงมักจะเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ในปีหนึ่ง ๆ มีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้อยู่พอสมควร (ในระยะหลัง ๆ นี้มีรายงานผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคนี้ลดลง เหลือปีละไม่เกิน 10-20 ราย) ผู้ป่วยมักมีประวัติถูกสุนัขบ้ากัดแล้วไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

นอกจากนี้ยังพบว่า ในปีหนึ่ง ๆ มีคนที่ถูกสุนัขบ้าหรือสัตว์อื่นที่สงสัยมีเชื้อสุนัขบ้ากัดหรือข่วน ที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในเรื่องวัคซีนจำนวนมหาศาล และนำความหวาดผวาหรือความวิตกกังวลมาสู่ครอบครัวของคนที่ถูกกัดมากมาย

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า (rabies virus ซึ่งเป็น lyssavirus type 1 ในตระกูล Rhabdoviridae) ที่อยู่ในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ที่แพร่เชื้อในบ้านเราที่พบบ่อยสุดคือสุนัข* รองลงมาคือแมว ส่วนน้อยที่อาจติดเชื้อจากสัตว์อื่น ๆ เช่น ค้างคาว สัตว์ป่าต่าง ๆ ปศุสัตว์ (เช่น วัว ควาย แพะ แกะ หมู ม้า ลา อูฐ) สัตว์แทะ (เช่น กระรอก หนู)

เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลบนผิวหนัง โดยการถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลีย สำหรับการเลีย จะต้องเลียถูกเยื่อเมือก (เช่น เยื่อบุตา ปาก จมูก) หรือผิวหนังที่มีแผล รอยถลอก หรือรอยข่วน เชื้อจึงจะเข้าได้ แต่ถ้าผิวหนังเป็นปกติดี เชื้อจะผ่านเข้าไปไม่ได้

เชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน แล้วเดินทางขึ้นไปตามเส้นประสาทส่วนปลายเข้าสู่ไขสันหลังและสมอง หลังจากนั้นจะแพร่กระจายลงมาตามระบบประสาทส่วนปลายไปยังอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งต่อมน้ำลาย บางครั้งเชื้ออาจเดินทางเข้าสมองโดยไม่ต้องรอให้มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน (ทำให้มีระยะฟักตัวของโรคสั้นกว่า 7 วัน) บางครั้งเชื้ออาจเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์อื่น เช่น มาโครฟาจ (macrophage) เป็นเวลานานก่อนจะออกมาสู่เซลล์ประสาท (ทำให้มีระยะฟักตัวของโรคยาว)

ระยะฟักตัว (ระยะที่ผู้ป่วยติดเชื้อจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ถึง 1 ปี ส่วนใหญ่จะแสดงอาการประมาณ 2-8 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ส่วนน้อย (ประมาณร้อยละ 1-3 ของผู้ป่วย) อาจมีระยะฟักตัวนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป พบว่าบางรายอาจสั้นกว่า 1 สัปดาห์ หรือยาวนานกว่า 1 ปี (เคยมีรายงานว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการเกิดขึ้นหลังติดเชื้อนานถึง 6-7 ปี) ระยะฟักตัวจะสั้นหรือยาวขึ้นกับความรุนแรงของบาดแผล ตำแหน่งของบาดแผล (อยู่ไกลหรือใกล้สมอง มีปริมาณปลายประสาทมากหรือน้อย) และปริมาณเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าที่เข้าสู่ร่างกาย

*ในบ้านเราสุนัขเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุด

สุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ส่วนใหญ่มักแสดงอาการแบบดุร้าย โดยระยะแรกเริ่มจะมีลักษณะผิดไปจากที่เคย เช่น สุนัขที่เคยคลุกคลีกับเจ้าของจะแยกตัวและมีอารมณ์หงุดหงิด สุนัขที่ไม่เคยคลุกคลีกับเจ้าของกลับคอยเคล้าเคลียเจ้าของ 2-3 วันต่อมาจะเข้าสู่ระยะตื่นเต้น โดยหมกตัวตามมุมมืด ตอบสนองไวต่อเสียงและสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ต่อมามีอาการกระวนกระวาย อาจแสดงอาการงับแมลงหรือวัตถุ (เช่น ก้อนหิน ดิน เศษไม้) ที่ขวางหน้า แล้วเริ่มออกวิ่งพล่าน ดุร้าย กัดคนและทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีอาการเสียงเห่าหอนผิดปกติ ลิ้นห้อย น้ำลายไหลยืด ต่อมามีอาการขาอ่อนเปลี้ยลง ลำตัวแข็งทื่อ สุนัขจะแสดงอาการในระยะตื่นเต้นนี้ประมาณ 1-7 วัน ช่วงสุดท้ายอาจมีอาการชักแล้วตาย หรือเข้าสู่อาการระยะสุดท้ายคือ ระยะอัมพาต โดยเกิดอาการอัมพาตทั้งตัว สุนัขจะล้มลงแล้วลุกขึ้นไม่ได้ และมักจะตายภายใน 2-3 วัน

สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการแบบซึม คือ มีไข้ นอนซม ซึม ไม่กินอาหารและน้ำ ชอบอยู่ในที่มืด ๆ ที่ถูกบังคับจะกัดหรืองับ อาจแสดงอาการคล้ายมีก้างหรือกระดูกติดคอ เช่น ไอ ใช้ขาตะกุยคอ ต่อมาสุนัขจะเดินโงนเงนเปะปะ เป็นอัมพาตทั้งตัว มักตายภายใน 10 วัน (ส่วนใหญ่ 4-6 วัน) โดยไม่แสดงอาการกลัวน้ำแบบที่พบในคน

อาการ

ระยะอาการนำของโรค ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ (38-38.5 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน อาจมีอาการกระสับกระส่าย ลุกลี้ลุกลน วิตกกังวล มีความรู้สึกกลัว นอนไม่หลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย

ที่สำคัญซึ่งถือเป็นอาการที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคนี้ คือ บริเวณบาดแผลที่ถูกกัดอาจมีอาการปวดเสียว คัน ชา หรือปวดแสบปวดร้อน โดยเริ่มที่บริเวณบาดแผล แล้วลามไปทั่วทั้งแขนหรือขา

ระยะปรากฏอาการทางระบบประสาท มักเกิดภายหลังอาการนำดังกล่าว 2-10 วัน ซึ่งแบ่งเป็น 3 แบบ ได้แก่

1. แบบคลุ้มคลั่ง ซึ่งพบได้บ่อยสุด (ประมาณร้อยละ 60-70 ของผู้ป่วย) ในระยะแรก ๆ อาจมีเพียงอาการไข้ กระวนกระวาย สับสน ซึ่งจะเกิดบ่อยเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า เช่น แสง เสียง เป็นต้น ต่อมาจะมีการแกว่งของระดับความรู้สึกตัว (เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดีสลับกัน) ขณะรู้สึกตัวดี ผู้ป่วยจะพูดคุยตอบโต้ได้เป็นปกติ แต่ขณะความรู้สึกตัวไม่ดี ผู้ป่วยจะมีอาการกระวนกระวาย ผุดลุกผุดนั่ง เดินเพ่นพ่าน เอะอะอาละวาด

ต่อมาจะมีอาการกลัวลม (เพียงแต่เป่าลมเข้าที่หน้าหรือคอจะมีอาการผวา) กลัวน้ำ (เวลาดื่มน้ำจะปวดเกร็งกล้ามเนื้อคอหอยทำให้กลืนไม่ได้ ไม่กล้าดื่มน้ำทั้ง ๆ ที่กระหาย หรือแม้แต่จะกล่าวถึงน้ำก็กลัว) ซึ่งพบได้เกือบทุกราย แต่ไม่จำเป็นต้องพบร่วมกันทั้ง 2 อาการ และอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อผู้ป่วยเริ่มเข้าสู่ระยะไม่รู้สึกตัว

นอกจากนี้ ยังพบอาการถอนหายใจเป็นพัก ๆ (มักพบในระยะหลังของโรค) และอาการผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น น้ำตาไหล น้ำลายไหล เหงื่อออกมาก ขนลุก ในผู้ชายอาจมีการแข็งตัวขององคชาตและหลั่งน้ำอสุจิบ่อย ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ

ในที่สุดผู้ป่วยจะซึม หมดสติ หยุดหายใจ และเสียชีวิตภายใน 7 วัน (เฉลี่ย 5 วัน) หลังจากเริ่มแสดงอาการ

2. แบบอัมพาต (นิ่งเงียบ) ซึ่งพบได้บ่อยรองลงมา (ประมาณร้อยละ 30) มักมีอาการไข้ ร่วมกับกล้ามเนื้อแขนขาและทั่วร่างกายอ่อนแรง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ พบอาการกลัวลมและกลัวน้ำประมาณร้อยละ 50 ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักเสียชีวิตช้ากว่าแบบที่ 1 คือเฉลี่ย 13 วัน

3. แบบแสดงอาการไม่ตรงต้นแบบ (non-classic) ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ถูกค้างคาวกัด ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการปวดประสาทหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต่อมาจะมีอาการแขนขาซีกหนึ่งเป็นอัมพาตหรือชา มีอาการชักและการเคลื่อนไหวผิดปกติ มักไม่พบอาการกลัวลม กลัวน้ำและอาการผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติดังแบบที่ 1

ระยะไม่รู้สึกตัว ผู้ป่วยทุกรายเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายจะมีอาการหมดสติและเสียชีวิต (จากระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว รวมทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะ) ภายใน 1-3 วันหลังมีอาการไม่รู้สึกตัว ถ้าผู้ป่วยมาโรงพยาบาลในระยะนี้อาจทำให้วินิจฉัยโรคได้ยาก อาจเข้าใจผิดว่าเกิดจากโรคสมองอักเสบจากสาเหตุอื่น

ภาวะแทรกซ้อน

โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคอันตรายร้ายแรง ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตทุกราย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมักตรวจพบว่ามีไข้ สับสน กระวนกระวาย เอะอะอาละวาด

ที่สำคัญคือ อาการกลัวลมและกลัวน้ำ

บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรง อัมพาตครึ่งซีก ชัก หรือหมดสติ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเจาะหลัง การตรวจหาเชื้อพิษสุนัขบ้า และการตรวจหาระดับสารภูมิต้านทานโรคด้วยวิธีต่าง ๆ การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

1. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ทำการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ชัก) ให้การรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ใช้เครื่องช่วยหายใจในรายที่หยุดหายใจ ให้น้ำเกลือและปรับดุลอิเล็กโทรไลต์) และติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด

ผลการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงจนเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วัน

2. การรักษาผู้ที่สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า

เมื่อพบผู้ป่วยที่ถูกสัตว์ที่เป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลีย ควรให้การดูแลรักษา ดังนี้

2.1. ให้การรักษาบาดแผล ถ้าผู้ป่วยยังไม่ได้ฟอกล้างบาดแผล หรือไม่มั่นใจว่าได้รับการปฐมพยาบาลมาอย่างดีแล้ว ให้ทำการฟอกล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่หลาย ๆ ครั้งนานอย่างน้อย 15 นาที ล้างทุกแผล และล้างให้ลึกถึงก้นแผล เช็ดแผลให้แห้ง แล้วใส่ยาฆ่าเชื้อ (เช่น โพวิโดนไอโอดีน) ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ ไม่ควรเย็บแผล เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้ออักเสบเป็นหนองได้ (ถ้าจำเป็นต้องเย็บแผล ควรทำแผลให้ดีสักระยะหนึ่งก่อน ค่อยเย็บปิดในภายหลัง) ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ) และพิจารณาฉีดยาป้องกันบาดทะยักตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ (ดู "บาดทะยัก" เพิ่มเติม)

2.2. พิจารณาความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าและให้ยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ดังนี้

    ความเสี่ยงระดับที่ 1 การสัมผัสที่ไม่ติดโรค คือสัมผัสถูกสัตว์ โดยที่ผิวหนังของผู้สัมผัสเป็นปกติ ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
    ความเสี่ยงระดับที่ 2 การสัมผัสที่มีโอกาสติดโรค คือสัตว์งับเป็นรอยช้ำ ข่วนเป็นรอยถลอก หรือสัตว์เลียผิวหนังตรงบริเวณที่มีบาดแผล แพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า*
    ความเสี่ยงระดับที่ 3 การสัมผัสที่มีโอกาสติดโรคสูง คือสัตว์กัดหรือข่วนเป็นแผลมีเลือดออกชัดเจน เยื่อบุ (ตา ปาก หรือจมูก) ถูกปนเปื้อนด้วยน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรค (เช่น ถูกสัตว์เลียปาก) หรือการถูกค้างคาวกัดหรือข่วน แพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และอิมมูโนโกลบูลิน**

2.3. สำหรับความเสี่ยงระดับที่ 2 หรือ 3 แพทย์มีแนวทางในการฉีดยา (วัคซีนหรือวัคซีนร่วมกับอิมมูโนโกลบูลิน) ป้องกัน ดังนี้

(1) ถ้าเป็นสัตว์ป่า ค้างคาว หนู สัตว์ที่หนีหาย หรือสัตว์ที่ตายและนำสมองไปตรวจพบเชื้อพิษสุนัขบ้า ให้ฉีดยาป้องกันแก่ผู้สัมผัสโรคตามระดับของความเสี่ยง

(2) ถ้าเป็นสุนัขหรือแมวที่มีอาการของโรคพิษสุนัขบ้า ให้ฉีดยาป้องกันแก่ผู้สัมผัสโรคตามระดับของความเสี่ยง และส่งหัวสัตว์ตรวจ

(3) ถ้าสุนัขหรือแมวเป็นปกติดี ควรซักประวัติต่อไปนี้  (1) การเลี้ยงสัตว์อยู่ในรั้วรอบขอบชิดและมีโอกาสสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าจากสัตว์อื่นน้อย  (2) สัตว์เลี้ยงได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสม่ำเสมออย่างน้อย 2 ครั้ง และครั้งสุดท้ายไม่เกิน 1 ปี  (3) การกัดหรือข่วนเกิดจากมีเหตุโน้มนำ เช่น แหย่สัตว์ รังแกสัตว์ เหยียบถูกสัตว์ เข้าใกล้สัตว์ที่หวงอาหารหรือมีลูกอ่อน เป็นต้น   

ถ้าครบทั้ง 3 ข้อ ให้เฝ้าดูอาการของสัตว์ 10 วัน ถ้าครบ 10 วัน สัตว์ยังเป็นปกติดี ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดยาป้องกัน แต่ถ้าสัตว์มีอาการผิดปกติ ให้ฉีดยาป้องกันแก่ผู้สัมผัสตามระดับของความเสี่ยง และส่งหัวสัตว์ตรวจ

ถ้าไม่ครบทั้ง 3 ข้อ ให้ฉีดยาป้องกันไปก่อนเลย และเฝ้าดูอาการของสัตว์ 10 วัน เมื่อครบ 10 วัน สัตว์ไม่ตายก็หยุดฉีดได้ (ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับวัคซีน 3 เข็ม คือ วันที่ 0, 3 และ 7 ถือได้ว่าผู้ป่วยได้รับวัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้า) ถ้าสัตว์ตายหรือหายไปก่อนครบ 10 วัน ผู้ป่วยต้องได้รับยาวัคซีนจนครบ

*วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (rabies vaccine) ปัจจุบันมีให้เลือกใช้อยู่หลายชนิด ได้แก่ PVRV (purified Vero cell rabies vaccine), CPRV (chromatographically purified Vero cell rabies vaccine), PCECV (purified chick embryo cell vaccine), PDEV (purified duck embryo vaccine) วัคซีนเหล่านี้มีวิธีและขนาดที่ใช้ที่หลากหลาย

วิธีที่ใช้กันทั่วไป คือการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อตรงต้นแขน จำนวน 5 ครั้ง ในวันที่ 0 (วันแรก), วันที่ 3 (ห่างจากวันแรก 3 วัน), วันที่ 7, 14 และ 30

สำหรับผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนจนครบชุดหรืออย่างน้อย 3 เข็ม แพทย์จะฉีดวัคซีนให้ผู้ป่วย 1 เข็มในวันแรก (สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายมาไม่เกิน 6 เดือน) หรือ 2 เข็มในวันแรก และวันที่ 3 (สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายมานานกว่า 6 เดือน) เพื่อกระตุ้นให้มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นให้มากพอที่จะป้องกันโรคได้

** อิมมูโนโกลบูลิน (rabies immunoglobulin/RIG) เป็นสารภูมิต้านทานที่สามารถขจัดเชื้อพิษสุนัขบ้าโดยตรง ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ HRIG (human rabies immunoglobulin) กับ ERIG (equine rabies immunoglobulin)

แพทย์จะฉีดสารนี้แก่ผู้สัมผัสที่มีโอกาสติดโรคสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถูกกัดเป็นแผลที่บริเวณใบหน้า ศีรษะ คอ มือ หรือนิ้วมือ หรือถูกกัดหลายแผล แผลฉีกขาดมาก หรือแผลลึก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงและระยะฟักตัวสั้น ควรฉีดอิมมูโนโกลบูลินพร้อมกับการฉีดวัคซีนเข็มแรก ถ้าให้ตั้งแต่วันแรกไม่ได้ ควรจัดหามาฉีดให้โดยเร็วที่สุด ถ้าฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วเกิน 7 วัน ร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกัน ก็จะไม่ฉีดอิมมูโนโกลบูลินแก่ผู้ป่วย

การดูแลตนเอง

1. เมื่อถูกสุนัข แมว สัตว์แทะ ปศุสัตว์ สัตว์ป่า หรือค้างคาวกัด ข่วน หรือเลีย ควรปฏิบัติดังนี้

    ทำการฟอกล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาด (เช่น น้ำก๊อก น้ำขวด น้ำสุก) กับสบู่ทันที ควรฟอกล้างหลาย ๆ ครั้ง นานอย่างน้อย 15 นาที แล้วใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน หรือแอลกอฮอล์ชนิด 70% ซึ่งจะช่วยลดปริมาณเชื้อพิษสุนัขบ้าที่บาดแผล
    ถ้ามีเลือดออกซิบ ๆ หรือออกไม่หยุด ควรใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดปิดแผล และใช้แรงกดปากแผลเพื่อห้ามเลือด
    รีบไปที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป และปรึกษาแพทย์ถึงความจำเป็นในการฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและยาป้องกันบาดทะยัก
    ควรกักขังหรือเฝ้าดูอาการสัตว์ที่ก่อเหตุนาน 10 วัน ในกรณีที่สัตว์นั้นจับตัวหรือหาตัวได้ยาก เช่น สัตว์ป่า หนู ค้างคาว สุนัขหรือแมวจรจัดที่อาจหนีหายไป ถ้าเป็นไปได้ควรหาทางกำจัดแล้วนำซากสัตว์ส่งตรวจ ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อพิจารณาฉีดยาป้องกัน

2. หากสงสัยมีอาการผิดปกติ (เช่น มีไข้ร่วมกับอาการกลัวลม กลัวน้ำ คลุ้มคลั่ง เอะอะอาละวาด แขนขาอ่อนแรง) และมีประวัติถูกสุนัข แมว ค้างคาวหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น กัด ข่วน หรือเลียมาก่อน (อาจเกิดเหตุมานานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือเป็นปี) ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน

เมื่อพบว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การป้องกัน

1. ควรแนะนำให้ประชาชนนำสุนัขและแมวที่เลี้ยงไว้ทุกตัวไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า เมื่ออายุได้ 12 สัปดาห์ (ถ้าฉีดก่อน ควรฉีดซ้ำเมื่ออายุ 12 สัปดาห์) และ 24 สัปดาห์ และต่อไปฉีดกระตุ้นปีละครั้งอย่างต่อเนื่อง

2. ผู้ที่ทำงานที่เสี่ยงต่อโรคนี้ เช่น สัตวแพทย์ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ แพทย์และพยาบาลที่พบผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าบ่อย ๆ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ทำงานเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า เด็กที่ชอบเล่นกับสุนัข เป็นต้น ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้า เรียกว่า "การให้วัคซีนแบบก่อนการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า (pre-exposure prophylaxis)"

โดยฉีดวัคซีน PVRV หรือ PCRV ในปริมาณ 0.5 มล. (หรือวัคซีน PCECV หรือ PDEV ในปริมาณ 1 มล.) เข้ากล้ามเนื้อต้นแขน หรือฉีดวัคซีน PVRV, PCRV หรือ PCECV ในปริมาณ 0.1 มล. เข้าในผิวหนัง 1 จุด บริเวณต้นแขน รวม 3 ครั้ง ในวันที่ 0, 7 และ 21 (หรือ 28)

3. ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยง และไม่ปล่อยสัตว์เลี้ยง (สุนัข แมว) ออกไปคลุกคลีกับสุนัขหรือแมวที่นอกบ้านเอง ทุกครั้งที่จะนำสุนัขออกนอกบ้านควรอยู่ในสายจูง

4. ไม่แหย่ หรือรังแกให้ถูกสัตว์ (เช่น สุนัข แมว) กัด รวมทั้งไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือเข้าใกล้สัตว์ที่ไม่รู้จักหรือไม่มีเจ้าของ

5. ถ้าถูกสัตว์กัด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในหัวข้อ "การดูแลตนเอง" ข้างต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถือว่าเมื่อมีอาการแสดงแล้ว มักจะเสียชีวิตทุกราย แม้ว่าเคยมีรายงานผู้ป่วยรอดชีวิต แต่ทั่วโลกก็มีเพียงไม่กี่ราย ซึ่งล้วนเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาป้องกันหลังสัมผัสโรคทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในบ้านเรามักไม่ได้รับการฉีดยาป้องกันโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นส่วนใหญ่

2. เมื่อถูกสัตว์ที่เป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วนหรือสัมผัสใกล้ชิด ควรทำการฟอกล้างด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที แล้วรีบไปที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็วเพื่อรับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรรักษาโดยวิธีพื้นบ้าน หรือปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกลูกสุนัขหรือแมวกัด หรือข่วน ก็อย่าได้ประมาทว่าไม่เป็นไรเป็นอันขาด

3. บางครั้งพบว่าหลังถูกสัตว์กัดหรือข่วน ถึงแม้จะไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็ไม่เห็นเป็นอะไร อาจทำให้เกิดความประมาทได้ ความจริงแล้วผู้ที่ถูกสัตว์กัด หรือข่วน ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคพิษสุนัขบ้าทุกราย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสัตว์ที่กัดไม่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า หรืออาจได้รับเชื้อจำนวนน้อย หรือบาดแผลมีความรุนแรงน้อยจนไม่ทำให้เกิดโรคก็เป็นได้

4. แม้ว่าไม่มีข้อพิสูจน์ว่าโรคนี้ติดต่อจากคนสู่คน แต่ก็มีรายงานผู้ป่วยที่ติดโรคจากการปลูกถ่ายกระจกตาหรืออวัยวะ ดังนั้น เมื่อมีการสัมผัสโรคกับผู้ป่วย เช่น ถูกผู้ป่วยกัด เยื่อบุหรือบาดแผลสัมผัสถูกสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วย ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาฉีดยาป้องกันแบบเดียวกับสัมผัสโรคจากสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า

5. ผู้สัมผัสโรคบางรายอาจไม่ได้ไปพบแพทย์ตั้งแต่แรกที่ถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลีย แต่ไปพบแพทย์หลังจากเกิดเหตุนานเป็นเดือน ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แพทย์ก็จะให้การรักษาแบบเดียวกับผู้ที่ไปพบแพทย์ตั้งแต่แรก และพิจารณาให้ยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามระดับของความเสี่ยง

สถานที่บริการตรวจหาเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า

กรุงเทพมหานคร

1. สถานเสาวภา สภากาชาดไทย บริการตลอด 24 ชั่วโมง
2. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ภาคกลาง

1. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นนทบุรี
2. สำนักงานปศุสัตว์ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และชัยนาท

ภาคเหนือ

1. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เชียงราย
3. โรงพยาบาลลำปาง
4. ศูนย์วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์ลำปาง
5. สำนักงานปศุสัตว์ เชียงใหม่ พิษณุโลก กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

1. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ขอนแก่นและนครราชสีมา
2. ศูนย์วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์ ขอนแก่น
3. สำนักงานปศุสัตว์ นครราชสีมา อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ

ภาคใต้

1. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ สงขลา
2. ศูนย์วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์ นครศรีธรรมราช
3. สำนักงานปศุสัตว์ สุราษฎร์ธานีและสงขลา

ภาคตะวันออก

1. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 2 จังหวัดชลบุรี
2. โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี
3. สำนักงานปศุสัตว์ เขต 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา

8
หมอประจำบ้าน: ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache)

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ เป็นโรคปวดศีรษะข้างเดียวที่มีอาการปวดฉับพลันและรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายใด ๆ เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างน้อย (ในสหรัฐอเมริกาพบโรคนี้ประมาณ 1-4 คนในประชากร 1,000 คน) พบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็อาจเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือตอนอายุ 50 ปีกว่าก็ได้

พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงได้เป็นโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมีการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากขึ้น ประกอบกับการวินิจฉัยมีความแม่นยำขึ้น จากเดิมที่ผู้หญิงปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นไมเกรน

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดครั้งคราว (epidemic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนใหญ่ มีอาการปวดนาน 1 สัปดาห์ถึง 1 ปี (ส่วนใหญ่ 2-12 สัปดาห์) และมีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการนานอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปก่อนจะเป็นรอบใหม่
    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดเรื้อรัง (chronic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย (ราวร้อยละ 20) มีอาการปวดติดต่อกันนานมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป โดยไม่มีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการ หรือเว้นช่วงนานน้อยกว่า 3 เดือนก่อนจะเป็นรอบใหม่   

ทั้งสองชนิดนี้สามารถแปรเปลี่ยนไปมากันได้ ชนิดครั้งคราวอาจกลายมาเป็นชนิดเรื้อรัง หรือชนิดเรื้อรังกลายมาเป็นชนิดครั้งคราว

สาเหตุ

อาการของโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด (หลอดเลือดขยายตัว) และเซลล์ประสาทของประสาทสมองเส้นที่ 5 และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะบนใบหน้า

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบ เชื่อว่าลักษณะการเกิดอาการเป็นรอบเวลา และมักเป็นตอนกลางคืน อาจเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโพทาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมนาฬิกาชีวิต (biological clock) ภายในร่างกาย วงจรการนอนหลับ และอื่น ๆ (เช่น อุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ การหลั่งสารฮอร์โมน การทำงานของระบบประสาท เป็นต้น)

พบว่า บางรายมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์   

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ (ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ มีประวัติสูบบุหรี่ถึงร้อยละ 85)

อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์มักจะกำเริบจากการมีสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แม้ปริมาณเพียงเล็กน้อย) การได้กลิ่นฉุน ๆ (เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม) การเจอความร้อน (เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน) การออกกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนร่างกายเหนื่อยล้า การใช้ยาไนโตรกลีเซอรีน (สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ)

อาการ

มีอาการปวดศีรษะข้างหนึ่ง เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อนที่ข้างจมูกหรือหลังเบ้าตา และจะปวดแรงขึ้นภายในไม่กี่นาที จนรู้สึกปวดรุนแรงจนสุดจะทนได้ตรงบริเวณรอบกระบอกตา หลังเบ้าตา และขมับ อาจปวดร้าวไปที่ใบหน้า หน้าผาก ท้ายทอย ลำคอ ไหล่ จมูก เหงือกหรือฟันข้างเดียวกัน

ผู้ป่วยจะมีอาการรู้สึกคล้ายถูกแท่งน้ำแข็งเสียบผ่านเข้าไปในลูกตา หรือเทน้ำกรดผ่านรูหูเข้าไปในศีรษะ หรือคล้ายลูกตาถูกดันให้หลุดออกจากเบ้า

มักจะปวดตอนกลางคืนหลังเข้านอน 1-2 ชั่วโมง จนสะดุ้งตื่น นอนไม่หลับ ผู้ป่วยจะลุกขึ้นเดินพล่าน ในรายที่ปวดรุนแรงมาก อาจจะร้องครวญคราง นั่งโยกตัวไปมา คลานบนพื้น กุมศีรษะหรือใช้มือกดตรงบริเวณที่ปวด  หรือศีรษะโขกกำแพงหรือของแข็ง

บางรายอาจปวดตอนกลางวัน ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อยกว่าตอนกลางคืน

อาการปวดมักจะเป็นทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นวันละหลายครั้ง (บางรายอาจปวดวันละครั้งหรือสองวันครั้ง หรืออาจปวดถี่มากสุดถึงวันละ 8 ครั้ง) มักมีอาการปวดตรงเวลาทุกวัน แต่ละครั้งปวดนานประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่ปวดอยู่นาน 30-90 นาที) แล้วจะหายปวดอย่างปลิดทิ้ง (แต่อาจรู้สึกอ่อนเพลียตามมา) เว้นช่วงเป็นชั่วโมง ๆ หรือเกือบวันจึงจะเริ่มปวดครั้งใหม่

อาการแต่ละรอบจะเป็นทุกวัน (หรือวันเว้นวัน) ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่นานต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วหายเป็นปกติไปเอง มักมีช่วงที่ไม่มีอาการอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาจนานเป็นแรมเดือนแรมปีจึงจะกำเริบรอบใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็น 1-2 รอบต่อปี เป็นวงรอบแบบนี้เรื่อยไป ซึ่งมักมีอาการกำเริบตรงฤดูกาลหรือตรงเดือน (เช่น เดือนตุลาคม) ของทุกปี ในแต่ละรอบที่กำเริบผู้ป่วยจะปวดอยู่ข้างเดิมทุกครั้ง ส่วนในรอบใหม่อาจเปลี่ยนไปปวดอีกข้างก็ได้ แต่ก็พบได้เป็นส่วนน้อย

ขณะที่มีอาการปวดศีรษะ ผู้ป่วยมักจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมด้วย ได้แก่   

    ตาข้างเดียวกับที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก
    รูจมูกข้างที่ปวดมีอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
    ใบหน้าข้างที่ปวดออกซีดหรือแดงกว่าปกติ
    ใบหน้าและหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก

ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้ ไวต่อแสง (กลัวแสง)คล้ายไมเกรนร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ถึงแม้จะปวดรุนแรงและเรื้อรัง แต่ก็ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หรือทำให้สมองพิการแต่อย่างใด นอกจากทำให้มีผลต่อจิตใจ (เช่น กังวล ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย) และคุณภาพชีวิต (เช่น เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การออกสังคม)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกาย อาจตรวจพบตาข้างที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก ใบหน้าหรือหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก รูจมูกข้างที่ปวดมีน้ำมูกไหล

อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้า หน้าซีดหรือหน้าแดง เจ็บหนังศีรษะ

อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เคลื่อนไหวไปมา ร้องครวญคราง ก้มศีรษะต่ำและใช้มือกดบริเวณที่ปวด

ในรายที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง สงสัยว่าอาจเกิดจากโรคทางสมอง เช่น เนื้องอกสมอง หลอดเลือดสมองโป่งพอง (aneurysm) เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ เป็นต้น ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจเลือด เจาะหลัง (ตรวจน้ำไขสันหลัง) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ขณะที่มีอาการปวดกำเริบเฉียบพลัน ให้การรักษาเพื่อบรรเทาปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (100%) โดยการใช้หน้ากากครอบจมูกและปาก ด้วยอัตรา 6-8 ลิตร/นาที ทันทีที่เริ่มปวด จะช่วยให้ทุเลาได้ภายใน 15 นาที เป็นวิธีที่ได้ผลดีและปลอดภัย
    ฉีดซูมาทริปแทน (sumatriptan) 6 มก. เข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) 1-2 มก. เข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ ยา 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัว ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่ควรใช้ยา 2 ชนิดนี้ร่วมกัน
    ใช้ซอลมิทริปแทนชนิดพ่นเข้าจมูก (zolmitriptan nasal spray)
    บางรายแพทย์อาจจะใช้ยาชาชนิดพ่นเข้าจมูก (lidocaine nasal spray)

ในการรักษาโรคนี้ แพทย์จะใช้ยาฉีดหรือยาพ่นจมูก ไม่ใช้ยาแก้ปวดชนิดกิน เนื่องจากโรคนี้มีอาการปวดรุนแรงและเฉียบพลัน การกินยาแก้ปวดใช้ไม่ได้ผลเพราะออกฤทธิ์ช้า

2. ในรายที่มีอาการปวดทุกวัน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวดซ้ำซาก ยาที่นิยมใช้เป็นตัวแรก ได้แก่ เวราพามิล (verapamil ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านแคลเซียม ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง) ข้อดีคือ ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่น และเหมาะกับการใช้กินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก เท้าบวม ความดันโลหิตต่ำ

สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเป็น มีอาการปวดไม่บ่อยและมีช่วงปลอดจากอาการนาน แพทย์จะให้กินยาสเตียรอยด์ (เช่น ยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน) ยานี้เหมาะสำหรับใช้ในช่วงสั้น ๆ เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงมากมาย และอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ (ติดเชื้อง่ายและรุนแรง) บวม โรคคุชชิง เป็นต้น

ถ้าใช้ยาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจให้กินลิเทียมคาร์บอเนต (lithium carbonate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้ว เหมาะสำหรับการกินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น กระหายน้ำ ท้องเดิน มือสั่น ไตเสื่อม เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้ยารักษาโรคลมชัก เช่น โทพิราเมต (topiramate), ไดวาลโพรเอต (divalproate) เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจใช้เวราพามิลร่วมกับลิเทียม ซึ่งช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้วิธีที่ไม่ใช้ยา เช่น การใช้อุปกรณ์ส่งกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทเวกัสผ่านทางผิวหนังที่บริเวณข้างคอ (vagus nerve stimulation/VNS), การฉีดยาชาระงับความรู้สึกที่ท้ายทอย (occipital nerve block ซึ่งมักใช้ร่วมกับการให้กินยาเวราพามิล)

3. ผู้ป่วยจำนวนน้อยที่แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังที่ใช้ยาหรือรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล หรือไม่สามารถใช้ยาได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามในการใช้ยา

การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี เช่น การใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุหรือรังสีแกมมาทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (percutaneous radiofrequency ablation หรือ gamma knife radiosurgery), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) กระตุ้นเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย (occipital nerve stimulation) หรือปมประสาทสะฟีโนพาลาไทน์ (sphenopalatine ganglion stimulation), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrode) ไว้ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส (deep brain stimulation) เป็นต้น

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณรอบและหลังเบ้าตา และใบหน้าซีกหนึ่ง หรือมีอาการปวดใบหน้าซีกหนึ่งร่วมกับมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล หนังตาบวม หรือหนังตาตก โดยเป็นข้างเดียวกับใบหน้าที่ปวด หรือปวดตาและใบหน้าซีกเดียว ครั้งละประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ทุกวัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ใช้ยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
    หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหยุดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังใช้ยาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือกำเริบใหม่
    มีไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม ชัก
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)
    ยาหาย หรือขาดยา
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อยได้ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่

    การสูบบุหรี่
    การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    การได้กลิ่นฉุน ๆ เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม
    การเจอความร้อน เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน
    การกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนเหนื่อยล้า

2. การใช้ยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ เช่น เวราพามิล (verapamil), เพร็ดนิโซโลน, ลิเทียมคาร์บอเนต เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน ต่างกันที่โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ปวดรุนแรงกว่าแต่ระยะเวลาสั้นกว่าไมเกรน (ปวดนาน 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง) และปวดแบบเว้นระยะเป็นช่วง ๆ แต่เป็นทุกวัน หรือวันเว้นวัน นานเป็นสัปดาห์ถึงเป็นแรมปี (ไมเกรนพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะปวดติดต่อกันนานครั้งละ 4-72 ชั่วโมง แล้วเว้นไปนานกว่าจะกำเริบใหม่) โรคนี้มักจะไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง และกลัวเสียง (ซึ่งตรงข้ามกับไมเกรน) แต่จะมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก รูม่านตาหดเล็ก หรือน้ำมูกไหลร่วมด้วย  (ซึ่งไม่พบในไมเกรน) โรคนี้เวลาปวด ผู้ป่วยจะอยู่ไม่นิ่ง จะเดินไปมา หรือโยกตัว (ผู้ป่วยไมเกรนจะหยุดเคลื่อนไหว นั่งหรือนอนพักในห้องมืด ๆ เงียบ ๆ)

2. ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอาการปวดต่อเนื่อง ไม่เว้นระยะ หรือปวดนานเป็นวัน ๆ ควรคิดว่าอาจเป็นโรคร้ายแรงทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง หรือเลือดออกในสมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) ดังนั้น ถ้ามีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับมีประวัติศีรษะได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม หรือชัก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

3. โรคนี้แม้จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง และเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง (บางคนอาจเป็นไปจนตลอดชีวิต บางคนเมื่ออายุมากขึ้นก็จะปวดห่างขึ้น และมีช่วงปลอดอาการนานขึ้น) แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การรักษาเพียงให้ยาบรรเทาอาการปวด (ขณะมีอาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน มักจะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาฉีดบรรเทาอาการ ยาแก้ปวดชนิดกินจะใช้ไม่ได้ผล) และให้ยากินป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อย ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองไม่ให้กำเริบบ่อยด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

9
สูตรหมี่คลุกไก่ฉีก สร้างอาชีพเสริม มีรายได้เพิ่ม รสชาติอร่อย

หมี่คลุกไก่ฉีกเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย และได้รับความนิยมอย่างมาก เหมาะสำหรับการทำขายสร้างรายได้เสริม ต่อไปนี้เป็นสูตรและเคล็ดลับในการทำหมี่คลุกไก่ฉีกให้อร่อยและขายดี:

ส่วนผสม:

เส้นหมี่ขาว 200 กรัม
อกไก่ต้มสุกฉีกเป็นเส้น 200 กรัม
กระเทียมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
ผักกาดหอม หรือผักสดตามชอบ
น้ำปรุงรส (สูตรด้านล่าง)
น้ำพริกกากหมู (ถ้ามี)
ส่วนผสมน้ำปรุงรส:

น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มไก่ 3 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น (ตามชอบ)

วิธีทำ:

เตรียมเส้นหมี่:
แช่เส้นหมี่ในน้ำจนนิ่ม
นำไปลวกในน้ำเดือดจนสุก ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ
คลุกเคล้าเส้นหมี่กับน้ำมันกระเทียมเจียว เพื่อไม่ให้เส้นติดกัน

ทำน้ำปรุงรส:
ผสมน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำส้มสายชู น้ำต้มไก่ และพริกไทยป่น คนให้เข้ากัน

คลุกหมี่:
นำเส้นหมี่ที่ลวกไว้มาคลุกเคล้ากับน้ำปรุงรสให้เข้ากัน
ใส่ไก่ฉีกและผักสดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน
โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและน้ำพริกกากหมู (ถ้ามี)

จัดเสิร์ฟ:
ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับความอร่อย:

เส้นหมี่: เลือกใช้เส้นหมี่ขาวที่เหนียวนุ่ม
ไก่: ใช้อกไก่ต้มสุกฉีกเป็นเส้น จะทำให้ได้เนื้อไก่ที่นุ่มและไม่แห้ง
น้ำปรุงรส: ปรุงรสน้ำปรุงรสให้เข้มข้น เปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด กลมกล่อม
ผัก: ใส่ผักสดตามชอบ เช่น ผักกาดหอม ถั่วงอก หรือแตงกวา
กระเทียมเจียว: เจียวกระเทียมให้เหลืองกรอบ จะช่วยเพิ่มความหอมให้กับหมี่คลุก
น้ำพริกกากหมู: เพิ่มน้ำพริกกากหมู จะช่วยเพิ่มรสชาติและความอร่อยให้กับหมี่คลุก

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า เช่น ต้มไก่ ฉีกไก่ และเจียวกระเทียม
จัดเตรียมภาชนะให้พร้อม เช่น กล่องโฟม หรือกล่องพลาสติก
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับต้นทุนและกลุ่มลูกค้า
โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line, หรือ Instagram
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร
เพิ่มตัวเลือก เช่น หมี่คลุกไก่ฉีกรสจัดจ้าน, หมี่คลุกไก่ฉีกใส่ไข่ต้ม

ช่องทางการขาย:

ตลาดนัด
ร้านอาหารตามสั่ง
เดลิเวอรี่
งานออกร้าน

ด้วยสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอาชีพเสริมด้วยหมี่คลุกไก่ฉีกได้อย่างแน่นอน

10
ข้าวกะเพรากุนเชียงไข่ดาวเป็นเมนูอาหารตามสั่งยอดนิยม ทำขายเป็นอาชีพเสริม

ข้าวกะเพรากุนเชียงไข่ดาวเป็นเมนูอาหารตามสั่งยอดนิยมที่ทำง่าย อร่อย และขายดี เหมาะสำหรับทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เพิ่มเติม ต่อไปนี้เป็นสูตรและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณทำข้าวกะเพรากุนเชียงไข่ดาวได้อย่างอร่อยและขายดี:

ส่วนผสม:

กุนเชียง 100 กรัม
ใบกะเพรา 1 ถ้วย
พริกขี้หนู 5-10 เม็ด (ปรับได้ตามชอบ)
กระเทียม 5 กลีบ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
ข้าวสวยหุงสุก 1 ถ้วย

วิธีทำ:

เตรียมวัตถุดิบ:
หั่นกุนเชียงเป็นชิ้นพอดีคำ
โขลกพริกขี้หนูและกระเทียมให้ละเอียด
เด็ดใบกะเพราเตรียมไว้

ทอดกุนเชียง:
ตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำกุนเชียงลงทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นพักไว้

ผัดกะเพรา:
ตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำพริกกระเทียมที่โขลกไว้ลงผัดให้หอม
ใส่กุนเชียงที่ทอดไว้ลงไปผัด
ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย และน้ำมันหอย
ใส่ใบกะเพราลงไปผัดให้เข้ากัน

ทอดไข่ดาว:
ตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำไข่ไก่ลงทอดจนสุกตามต้องการ

จัดเสิร์ฟ:
ตักข้าวสวยใส่จาน ราดด้วยกะเพรากุนเชียง และวางไข่ดาวด้านบน

เคล็ดลับความอร่อย:

เลือกกุนเชียงที่มีคุณภาพดี จะทำให้มีรสชาติอร่อย
ผัดกะเพราให้มีรสชาติจัดจ้าน เผ็ด เค็ม หวาน กลมกล่อม
ทอดไข่ดาวให้มีไข่แดงเยิ้ม จะทำให้ข้าวกะเพราน่ารับประทานยิ่งขึ้น

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า เช่น หั่นกุนเชียง และโขลกพริกกระเทียม
จัดเตรียมภาชนะให้พร้อม เช่น กล่องโฟม หรือกล่องพลาสติก
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับต้นทุนและกลุ่มลูกค้า
โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line, หรือ Instagram
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร
เพิ่มตัวเลือก เช่น ข้าวกะเพรากุนเชียงไข่ดาวไม่สุก, ข้าวกะเพรากุนเชียงไข่ดาวลาวา

ช่องทางการขาย:

ตลาดนัด
ร้านอาหารตามสั่ง
เดลิเวอรี่
งานออกร้าน

ด้วยสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอาชีพเสริมด้วยข้าวกะเพรากุนเชียงไข่ดาวได้อย่างแน่นอน

11
หยุดพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ด่วน! ถ้าไม่อยากถูกกวนด้วยโรคหัวใจ

โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มักเป็นโรคที่คนคิดกันว่าไกลตัว ต้องเป็นผู้สูงอายุเท่านั้นถึงจะเป็นกัน แต่ในปัจจุบันเราพบว่า ไม่ใช่เพียงแค่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่เสี่ยงเป็นโรคนี้ เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนหนุ่มสาวในปัจจุบันบางส่วน ที่กินไม่ดี ปาร์ตี้หมูกระทะบ่อย กินน้ำชงหวาน ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดสะสม หรือแม้แต่การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็มีส่วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้นได้

สาเหตุของโรคหัวใจ

สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ จะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ แต่มักสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และปัจจัยที่ควบคุมได้ ดังนี้

 ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

พันธุกรรม : หากบุคคลในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคหัวใจ เราก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพราะโรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

อายุที่เพิ่มขึ้น : อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งของการเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับสภาพของหลอดเลือดที่เสื่อมลงตามวัย

เพศ : เพศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีงานวิจัยออกมาสนับสนุนให้เห็นว่า โรคหัวใจเกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากเพศหญิงมีฮอร์โมนที่คอยควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายให้อยู่ในระดับที่พอดีได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้เพศหญิงก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากหากถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากขึ้นได้

 ปัจจัยที่ควบคุมได้

รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง : ไขมันในที่นี้รวมถึงไขมันทรานส์ หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงด้วย เช่น ขาหมู หมูสามชั้น เนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ทอด แกงกะทิ  ชีส เค้ก หรือเบเกอรี หากกินมากๆ และบ่อยๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงหัวไม่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจขาดเลือด และนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้

มีน้ำหนักเกิน หรือมีภาวะอ้วน : ในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน มักมีความเสี่ยงต่อการทำงานของหัวใจบกพร่องเป็นอย่างมาก เนื่องจากในคนที่มีน้ำหนักตัวเกินมักมีไขมันในเลือดสูง โอกาสที่ไขมันจะไปเกาะในหลอดเลือดและทำให้การไหลเวียนเลือดติดขัดก็มีมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อหัวใจขาดเลือดในระดับหนึ่งหัวใจก็จะทำงานไม่ไหว จึงเป็นเหตุให้เสียชีวิตอย่างกะทันหันได้

การสูบบุหรี่ : หลายคนอาจคิดว่าการสูบบุหรี่จะส่งผลต่อปอดเพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วบุหรี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพหัวใจด้วย เนื่องจากควันบุหรี่มีสารพิษหลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อหลอดเลือดหัวใจ เช่น นิโคติน และคาร์บอนมอนอกไซด์ เมื่อร่างกายได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณมาก จะส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจมีการหดตัวและตีบลงจนทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้

มีภาวะเครียดสะสม : ในผู้ที่มีความเครียดมากๆ หัวใจก็จะยิ่งทำงานหนักขึ้นตามไปด้วย โดยหัวใจจะเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้นจนอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่แล้วให้เป็นหนักขึ้นได้

ไม่ออกกำลังกาย : หัวใจที่ไม่ค่อยได้ออกแรง หากมีภาวะที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก หรือหัวใจมีการสูบฉีดเลือดแรงๆ หัวใจก็จะทนต่อการทำงานหนักไม่ไหว และส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้

พักผ่อนไม่เพียงพอ : ในผู้ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั้นจะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน และส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว การหมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากในการป้องกันโรคและดูแลหัวใจของเราให้แข็งแรง ลดเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจตีบ ทั้งการเลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ การควบคุมน้ำหนัก การหมั่นออกกำลังกาย และการไม่สูบบุหรี่ รวมถึงการตรวจสุขภาพประจำปีและสุขภาพหัวใจอยู่เสมอจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพ และการเกิดโรคหัวใจในอนาคตได้ ซึ่งการตรวจสุขภาพหัวใจสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจกระแสไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อหัวใจผลิตออกมาขณะที่หัวใจบีบตัว โดยคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะแสดงออกมาเป็นกราฟ และแพทย์จะทำการอ่านผล เพื่อวินิจฉัยสุขภาพหัวใจ
    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) เป็นวิธีการทดสอบสมรรถภาพของหัวใจขณะออกกำลังกาย เช่น การเดินบนลู่วิ่ง หรือการขี่จักรยานอยู่กับที่ เพื่อตรวจว่าขณะที่หัวใจต้องออกกำลังอย่างหนักนั้น คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความผิดปกติหรือไม่
    การตรวจหาปริมาณแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (CT Calcium Score) คือการตรวจวัดระดับแคลเซียมหรือหินปูนที่เกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือดว่ามีมากน้อยแค่ไหน เป็นการประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคตได้ แม้จะยังไม่มีอาการแสดง
    ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography : Echo) เป็นการตรวจวัดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ โดยใช้วิธีการสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูง เมื่อคลื่นเสียงส่งผ่านไปยังหัวใจก็จะเกิดสัญญาณสะท้อนกลับมาสร้างเป็นภาพหัวใจให้เห็นบนจอภาพ ทำให้เห็นความผิดปกติที่อาจมีซ่อนอยู่ได้
    ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (Coronary CT Angiography : CTA) เป็นเทคโนโลยีการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่มีความแม่นยำสูง โดยจะให้ภาพสามมิติของหัวใจและหลอดเลือด เพื่อตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ที่อาจมีอยู่


12
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: อัปเดต ‘สายพันธุ์โควิด-19’ ในไทย พร้อมเช็คอาการเบื้องต้น

นับเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในขณะเดียวกันก็มีการพบการกลายพันธุ์ไปตามสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ สำหรับประเทศไทยเองก็มีการรับเชื้อโควิดกลายพันธุ์เข้ามาจากที่ต่าง ๆ และมีการแพร่ระบาดอยู่หลากหลายสายพันธุ์ในขณะนี้ ศูนย์การตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ เมดิคอลไลน์ แล็บ จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับสายพันธุ์โควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย พร้อมอาการเบื้องต้นของแต่ละสายพันธุ์

สายพันธุ์ S (Serine)

โควิดสายพันธุ์ S (Serine) หรือ สายพันธุ์อู่ฮั่น เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยระบาดระลอกแรกในไทยเดือนมีนาคม 2563 จากคลัสเตอร์สนามมวยที่ลุมพินี ราชดำเนิน และอ้อมน้อย
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์ S

    มีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
    ไอแห้ง ไอต่อเนื่อง
    หอบเหนื่อย
    หายใจลำบาก
    อ่อนเพลีย
    การรับรสหรือได้กลิ่นผิดปกติ

สายพันธุ์อัลฟ่า (Alpha)

โควิดสายพันธุ์อัลฟ่า หรือ สายพันธุ์อังกฤษ พบครั้งแรกที่เมืองเคนต์ในประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2563 ก่อนจะเข้ามาระบาดในประเทศไทยเมื่อต้นเดือนมกราคม 2564 และแพร่ระบาดอย่างหนักจากคลัสเตอร์ทองหล่อ ปัจจุบันเป็นสายพันธ์ุหลักที่ระบาดไปแล้วกว่า 138 ประเทศทั่วโลก เนื่องจากสายพันธุ์นี้แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นมากถึง 40-70% และยังเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี ทำให้มีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตสูงขึ้นถึง 30%
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์อัลฟ่า

    มักมีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
    ไอ เจ็บคอ
    มีน้ำมูก
    ปวดศีรษะ
    ปวดเมื่อยร่างกาย
    หนาวสั่น
    หายใจหอบเหนื่อย
    อาเจียนหรือท้องเสีย
    การรับรสหรือได้กลิ่นผิดปกติ

สายพันธุ์เบต้า (Beta)

โควิดสายพันธุ์เบต้า หรือ สายพันธุ์แอฟริกา พบครั้งแรกในอ่าวเนลสันแมนเดลา เมืองอีสเทิร์นเคปของแอฟริกาใต้เมื่อเดือนตุลาคม 2563 พบครั้งแรกในไทยที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 สำหรับสายพันธุ์เบต้าพบว่ามีอัตราการแพร่เชื้อไวขึ้น 50% จากสายพันธุ์เดิม อีกทั้งมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งสำคัญ จึงทำให้เชื้อไวรัสมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือเคยติดเชื้อแล้วก็จะยังสามารถติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์นี้ซ้ำได้อีก
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์เบต้า

    เจ็บคอ
    ปวดศีรษะ
    ปวดเมื่อยร่างกาย
    ท้องเสีย
    ตาแดง
    การรับรสหรือได้กลิ่นผิดปกติ
    มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
    นิ้วมือหรือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี

 สายพันธุ์เดลต้า (Delta)

โควิดสายพันธุ์เดลต้า หรือ สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่พบในประเทศอินเดีย ก่อนจะมีการกระจายไปในหลายประเทศทั่วโลก โดยสายพันธุ์นี้สามารถจับเซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ติดง่ายขึ้น แพร่กระจายเชื้อได้รวดเร็วกว่า จึงระบาดเร็ว โดยในประเทศไทยพบครั้งแรกที่คลัสเตอร์แคมป์คนงานหลักสี่ และเป็นสายพันธ์ุหลักที่กำลังแพร่ระบาดรุนแรงในบ้านเราอยู่ขณะนี้ นอกจากนี้ ยังพบว่าโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าสามารถกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลต้า พลัส ซึ่งทำให้ผู้ที่สัมผัสเชื้อติดเชื้อง่ายกว่าเดิม ทั้งยังหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ดี
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์เดลต้า

    มีอาการทั่วไปคล้ายหวัดธรรมดา
    ปวดศีรษะ
    มีน้ำมูก
    เจ็บคอ
    การรับรสชาติปกติ

ตราบใดที่โควิด-19 ยังคงไม่หมดไปจากบ้านเรา การดูแลและป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัดก็ยังมีความจำเป็น ทั้งการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคม หลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นที่สาธารณะหากไม่จำเป็น เหนือสิ่งอื่นใด ควรหมั่นรักษาสุขภาพ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และหากพบว่าตนเองมีอาการเข้าข่าย เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ และหายใจเหนื่อยหรือหายใจลำบาก และมีประวัติสัมผัสหรือใกล้ชิดบุคคลที่มาจากพื้นที่ที่มีการระบาดหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ควรรีบไปตรวจโควิดทันทีเพื่อจะได้ทราบผลและหาทางรักษาได้อย่างทันท่วงที

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron)

โอไมครอน หรือ โอมิครอน คือ โควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ล่าสุดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นสายพันธุ์ระดับที่น่ากังวล (Variants of Concern: VOC) ถูกค้นพบครั้งแรกในแถบแอฟริกาใต้ในช่วงสิ้นปี 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีกระจายไปหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มีอัตราการระบาดค่อนข้างรวดเร็วหลังพบผู้ติดเชื้อชาวอเมริกันที่บินจากสเปน แวะดูไบ ก่อนเข้าไทยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 โดยสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ส่วนโปรตีนหนามมากถึง 32 ตำแหน่ง ทำให้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานได้มากขึ้น เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ส่งผลต่อการลดประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ปัจจุบันอย่างมาก และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการกลับมาติดเชื้อซ้ำเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยมักติดเชื้อในลักษณะที่เป็นระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ลงปอด จึงทำให้มีอาการป่วยไม่รุนแรงมาก
อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน

    จมูกยังสามารถได้กลิ่น
    ลิ้นรับรสได้ดี
    ไม่ค่อยมีไข้
    ไอมาก
    มีอาการเจ็บคอ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปอดอักเสบ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.2

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน BA.2 จัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์โควิดใหม่ล่าสุดที่มาเร็วและมาแรงที่สุด แต่มีอาการแสดงน้อยคล้ายอาการของคนเป็นหวัด หรือแทบจะไม่มีอาการเลยในบางราย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘สายพันธุ์ล่องหน’ (Stealth Variant) ที่สำคัญคือโอมิครอน BA.2 นั้นมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้า ซึ่งหมายความว่าแม้ผู้ป่วยจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วกี่เข็มก็ตาม แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อโอมิครอน BA.2 ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – B.2

    เจ็บคอ
    ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล็กน้อย
    เหนื่อย อ่อนเพลีย
    ไอแห้งและต่อเนื่อง
    มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.2.75

สำหรับโอไมครอน หรือ โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 มีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้น 9 ตำแหน่งจาก สายพันธุ์ย่อย BA.2 ในจำนวนนี้มี 2 ตำแหน่งสำคัญที่อาจทำให้เกิดการหลบภูมิคุ้มกัน ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้ไวรัสจับกับเซลล์ปอดและรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ พบครั้งแรกในต่างประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 แต่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอินเดียในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา และได้กระจายไปหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี สำหรับในประเทศไทย มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 รายแรกที่ จ.ตรัง โดยองค์การอนามัยโลกได้จัดสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 ให้อยู่ในกลุ่มสายพันธ์ที่น่ากังวลที่ต้องจับตาดู (VOC-LUM)

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BA.2.75

    เจ็บคอ คอแห้ง คันคอ
    มีไข้ต่ำ
    น้ำมูกไหล
    จาม
    อ่อนเพลีย
    ปวดศีรษะ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.4/BA.5

โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 เป็นเชื้อกลายพันธุ์ของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอนที่พบการแพร่ระบาดไปก่อนหน้านี้ โดยมีการพบผู้ติดเชื้อรายแรกในแถบแอฟริกาเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2565 ในปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกจนองค์กรอนามัยโลกได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4/BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง (VOC) และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลต้า (Delta) กล่าวคือเชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1/ BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน โดย BA.5 จัดเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้เร็วที่สุด โดยแพร่ได้เร็วกว่าไวรัสอู่ฮั่น 5 เท่า และแพร่ได้เร็วกว่าเดลต้า 3.6 เท่า

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BA.4/BA.5

    อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    ไอแห้ง เจ็บคอ มีน้ำมูก
    มีไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้
    ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    ถ่ายเหลว

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BA.4.6

BA.4.6 เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของโควิดโอไมครอน หรือ โอมิครอน ถือว่าเป็นแขนงย่อยของ BA.4 อีกทีหนึ่ง ซึ่งสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนี้มีคุณสมบัติด้านการกลายพันธุ์แบบเดียวกับสายพันธุ์ย่อย BA.4 ซึ่งการกลายพันธุ์ที่โดดเด่นดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ตำแหน่งโปรตีนหนามที่เรียกกันว่า R346T พบการระบาดอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา โดยแฉพาะในแถบ 4 มลรัฐ คือ ไอโอวา (Iowa) แคนซัส (Kansas) มิสซูรี (Missouri) และเนบราสกา (Nebraska) และอีก 43 ประเทศทั่วโลก โดยมีอัตราการเติบโตแพร่ระบาด (Relative Growth Advantage) สูงกว่า BA.4/BA.5 และ BA.2.75 ทำให้ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา ( U.S. CDC) ปรับให้โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย  BA.4.6 เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variant of Concern) เนื่องจากมีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นประมาณ 83 ตำแหน่ง ในขณะที่ BA.2.75 กลายพันธุ์ไป 95 ตำแหน่ง, BA.5 กลายพันธุ์ไป 90 ตำแหน่ง, และ  BA.4 กลายพันธุ์ไป 78 ตำแหน่งต่างจากไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่น ซึ่งตำแหน่งกลายพันธุ์คล้ายเดลต้า และเบต้าบางส่วน ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่พบผู้ป่วยสายพันธุ์นี้ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกันต่อไปว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ BA.4.6 จะมีความสามารถในการแพร่กระจาย ก่อโรครุนแรง ลดภูมิต้านทาน และดื้อต่อวัคซีนมากน้อยเพียงใด หากมีการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมมาก ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนเจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่างแน่นอน

ปัจจุบันพบผู้ป่วยในไทยแล้ว 3 ราย ส่วนจำนวนผู้ป่วยรวมทั่วโลกมีราว 42,000 คน

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BA.4.6

    เจ็บคอ
    ปวดศีรษะ
    คัดจมูก
    ไอ (ไม่มีเสมหะ)
    น้ำมูกไหล

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – BQ.1

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน BQ.1 เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ BA.5 ที่องค์การอนามัยโลกระบุเป็นสายพันธุ์ที่เฝ้าจับตามอง และมีการระบาดในอเมริกาและยุโรป สำหรับประเทศไทยเพิ่งพบผู้ป่วยรายแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นชายชาวต่างชาติ อายุ 40 ปีที่เดินทางมาจากประเทศจีน ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ต่อมาทางโรงพยาบาลส่งตัวอย่างมาตรวจทางห้องปฏิบัติการและสุ่มตรวจสายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และได้ทำการถอดรหัสพันธุกรรมตัวอย่างดังกล่าว จากนั้นส่งเข้าฐานข้อมูล GISAID ตั้งแต่ 21 กันยายน 2565 ซึ่งในขณะนั้นยังถูกจัดเป็นสายพันธุ์ BE.1.1 เป็นลูกหลานของสายพันธุ์ BA.5.3 ต่อมาเมื่อมีข้อมูลมากขึ้นได้ถูกปรับเป็นสายพันธุ์ BQ.1 ที่มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่สำคัญ คือ K444T, L452R, N460K, และ F486V ทำให้สายพันธุ์ย่อยนี้สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณความรุนแรง แต่อาจทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น อีกทั้งดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูปตัวสำคัญที่ใช้เพื่อรักษาโรค COVID-19 เช่น เอวูเชลด์ (Evusheld) และ เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab) ซึ่งทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ไทยก็ชี้แจงไว้ว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยนี้มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนและแพร่ติดต่อได้เร็วกว่า โดยระบุไว้ด้วยว่าสายพันธุ์ย่อยใหม่น่าจะเข้ามาแทนที่ BA.5 ได้ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปี 2566

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – BQ.1

    อ่อนเพลีย มีไข้
    ไอ คัดจมูก เจ็บคอ
    คลื่นไส้ ท้องเสีย
    ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดศีรษะ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – XBB

ส่วนโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB เป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์ BJ.1 และ BM.1.1.1 โดยมีบรรพบุรุษร่วมกันคือ BA.2 และมีการระบาดกระจายไป 70 ประเทศทั่วโลก โดยพบมากในอินเดีย โดมินิกัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังในประเทศไทยพบสายพันธุ์ XBB จำนวน 13 ราย รายแรกเป็นหญิงต่างชาติอายุ 60 ปี เดินทางมาจากฮ่องกง และมาตรวจในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนรายที่ 2 เป็นชาวไทยอายุ 49 ปี เดินทางมาจากสิงคโปร์ ไปโรงพยาบาลเดียวกัน มีอาการไอ คัดจมูก สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกัน ทั้งจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อธรรมชาติได้ดีกว่าสายพันธุ์เดิม ดังนั้น จึงสามารถติดกันได้ง่ายกว่าเดิม แต่รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – XBB

    ไอ เจ็บคอ
    มีไข้
    คัดจมูก หรือมีน้ำมูก
    อ่อนเพลีย รู้สึกหนาวสั่น
    คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

 สายพันธุ์เดลตาครอน

โควิด19สายพันธุ์ “เดลต้าครอน XBC” คือ ลูกผสมระหว่างเดลต้าและโอมิครอน BA.2 พบระบาดในฟิลิปปินส์ จากการถอดรหัสพันธุ์กรรมทั้งจีโนมพบว่ามีศักยภาพในการโจมตีปอดคล้ายกับเดลตา และอาจแพร่ระบาดได้รวดเร็วเหมือนโอมิครอน เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากโควิด19 สายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างอู่ฮั่นมากที่สุดถึงกว่า 130 ตำแหน่ง พบระบาดแล้วในหลายประเทศในอาเซียน สำหรับผู้ป่วยรายแรกในไทยเป็นหญิงไทย อายุ 47 ปี ที่ได้รับวัคซีนแล้วรวม 3 เข็ม ทั้งนี้ยังไม่พบสัญญาณความรุนแรงของเชื้อที่กลายพันธุ์ แต่อาจจะทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามสามารถทำให้ติดเชื้อซ้ำได้แม้ในผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์เดลต้าครอน

    น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ
    อ่อนเพลีย
    สูญเสียการรับรสและกลิ่น

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – CH.1.1

สำหรับโควิด CH.1.1 ตัวใหม่ที่พบกลายพันธุ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.75 (BA.2.75 + R346T, K444T, L452R และ F486S) มีความสามารถสูงในการหลบภูมิคุ้มกันได้พอสมควร แต่การระบาด การแพร่กระจายไม่รวดเร็ว พบรายงานครั้งแรกในประเทศอินเดียเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 และแพร่กระจายไปทั่วโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยพบมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และสิงคโปร์ โดยสายพันธุ์ CH.1.1 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่สำคัญ คือ K444T, L452R, N460K และ F486V ซึ่งทำให้หลบภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีนได้ดี มีคุณสมบัติดื้อต่อแอนติบอดีสังเคราะห์อย่างเอวูเชลด์ (Evusheld) และ เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab) สำหรับประเทศไทย พบรายงานครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 200-300 ราย

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – CH.1.1

    เจ็บคอ คอแห้ง คันคอ
    มีไข้ต่ำ
    น้ำมูกไหล
    จาม
    อ่อนเพลีย
    ปวดศีรษะ

 สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – XBB.1.5

โควิด-19 สายพันธุ์ XBB.1.5 คือ โควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะระบาดในปี 2566 โดยต้นตระกูลของ XBB.1.5 คือ โอมิครอน BA.2 โดยเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอมิครอน 2 สายพันธุ์ คือ BJ.1 และ BM.1.1.1 โดยโควิดสายพันธุ์ XBB.1.5 นี้มีอัตราการแพร่ระบาดรวดเร็วมาก และเป็นสายพันธุ์ที่หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถจับยึดกับผิวเซลล์บริเวณโปรตีน ACE-2 ของผู้ติดเชื้อได้แน่นที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง ทำให้เป็นสายพันธุ์ที่แทรกรุกรานเข้าสู่เซลล์และแพร่ระบาดได้ดี รวมถึงสามารถหลบเลี่ยงต่อภูมิคุ้มกันแบบผสมทั้งจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างอู่ฮั่นมากถึง 104 เท่า ทำให้ติดซ้ำได้ง่ายขึ้น โดยพบว่าเริ่มระบาดในไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา และจากถอดรหัสพันธุกรรมเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก (GISAID) ผ่าน Outbreak.info ร่วมกับองค์การอนามัยโลกพบว่า XBB.1.5 สายพันธุ์หลักในประเทศไทยที่ต้องเฝ้าระวัง

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – XBB.1.5

    ไอ เจ็บคอ
    มีไข้
    คัดจมูก หรือมีน้ำมูก
    อ่อนเพลีย รู้สึกหนาวสั่น
    คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

สายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) – XBB.1.16

สำหรับโควิดสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ โควิดสายพันธุ์ XBB.1.16 หรือ “โควิดอาร์คทูรัส” (Arcturus) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอมิครอน 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ BA.2.10.1 กับ BA.2.75 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในการสังเกตการณ์ขององค์การอนามัยโลก จุดเด่นของสายพันธุ์นี้ คือ แพร่ได้รวดเร็วและหลบรอดภูมิคุ้มกันได้ดีมากทั้งการติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโปรตีนหนามบนผิวมากกว่าเดิม สามารถแพร่เชื้อเร็วขึ้นกว่าสายพันธุ์โอมิครอนเดิมถึง 2 เท่า แพร่กระจายได้เร็วกว่า XBB.1.5 ประมาณ 1.2 เท่า  แต่ยังไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความรุนแรงของอาการจากเดิม  มีรายงานการค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดียเมื่อเดือนมกราคม 2566 ส่วนในไทยพบผู้ป่วยสายพันธุ์นี้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงมีผู้เสียชีวิตแล้วบางส่วน และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในไทยเช่นเดียวกับทั่วโลกในอีกไม่นานนี้

อาการเบื้องต้นของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน – XBB.1.16

    มีไข้สูง
    คัดจมูก ไอ
    ผื่นคัน
    ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย
    จมูกไม่ได้กลิ่น อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
    เยื่อบุตาอักเสบ คล้ายตาแดง คันตา ขี้ตาเหนียว ลืมเปลือกตาไม่ขึ้น


13
หมอออนไลน์: ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute pyogenic arthritis)

ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน (acute pyogenic arthritis) เป็นภาวะรุนแรงซึ่งหากปล่อยไว้อาจทำให้ข้อพิการได้

โรคนี้ในปัจจุบันพบได้ค่อนข้างน้อย

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะแบคทีเรีย เช่น เชื้อหนองใน สเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส เมนิงโกค็อกคัส เป็นต้น เชื้อโรคเหล่านี้อาจเข้าไปในข้อโดยตรง (เช่น จากบาดแผลที่บริเวณข้อ) หรือลุกลามจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายผ่านกระแสเลือดเข้าไปในข้อ

อาการ

เกิดขึ้นฉับพลันทันทีด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ข้อบวม แดง ร้อนและปวดมาก มักเป็นเพียง 1-2 ข้อใหญ่ ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อศอก ข้อมือ ข้อเท้า เป็นต้น บางรายอาจมีอาการปวดตามข้อต่าง ๆ นำมาก่อนหลายวัน

ผู้ป่วยอาจมีประวัติได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลที่บริเวณข้อ หรือมีโรคติดเชื้อของส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอยู่ก่อน เช่น เป็นฝี หนองใน คออักเสบ ปอดอักเสบ ไตอักเสบ เยื่อบุมดลูกอักเสบ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาเชื้ออาจเข้ากระแสเลือดเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ หรือทำให้ข้อพิการได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบไข้ ข้อบวมแดงร้อน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ข้อและเจาะดูดหนองจากข้อไปตรวจหาเชื้อ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่พบ

อาจต้องเจาะระบายหนองออกบ่อย ๆ

นอกจากนี้ต้องให้ผู้ป่วยนอนพัก ยกข้อที่อักเสบให้สูงไว้ และอาจต้องเข้าเฝือกไม่ให้ข้อเคลื่อนไหว เมื่ออาการอักเสบเริ่มทุเลา ควรแนะนำให้ผู้ป่วยบริหารข้อเพื่อป้องกันข้อแข็งหรือพิการ

ผลการรักษา ถ้าเลือกให้ยาปฏิชีวนะได้ถูกต้อง ผู้ป่วยมักจะหายได้ภายใน 7-10 วัน โดยไม่มีร่องรอยของความพิการ แต่ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้องข้ออาจพิการได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น  มีไข้สูงร่วมกับข้ออักเสบ บวมแดงร้อน ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้าหลังกินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรกลับไปพบแพทย์

การป้องกัน

อาจป้องกันด้วยการระวังอย่าให้เกิดบาดแผลที่บริเวณข้อ และถ้ามีบาดแผลหรือเป็นโรคติดเชื้อที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ควรรีบไปรับการรักษากับแพทย์อย่างจริงจัง

ข้อแนะนำ

โรคนี้มีความรุนแรงและอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาที่กดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น หากสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

14
โพสขายออนไลน์ฟรี / Doctor At Home: โรคแพนิค (Panic Disorder)
« เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2025, 22:13:42 น. »
Doctor At Home: โรคแพนิค (Panic Disorder)

โรคแพนิค (Panic Disorder) คือ ภาวะตื่นตระหนกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลหรือหาสาเหตุไม่ได้  เนื่องจากผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิค (Panic Attacks) หรือหวาดกลัวอย่างรุนแรงได้ตลอดเวลา  เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่ออก เวียนศีรษะ เหงื่อออกมาก และรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้ตัวเองจะไม่ได้เผชิญหน้าหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายก็ตาม

คนทั่วไปอาจเกิดอาการแพนิคได้ แต่อาการจะเกิดไม่บ่อยและหายไปเองเมื่อเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอาการแพนิคจบลงหรือผ่านพ้นไปแล้ว  แต่ผู้ที่เป็นโรคแพนิคจะมีอาการของภาวะวิตกกังวลร่วมกับอาการแพนิคอย่างกะทันหันที่เกิดขึ้นบ่อย ซึ่งอาจเกิดทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว และอาจมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นร่วมด้วย ผู้ป่วยแพนิคจึงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

สาเหตุของโรคแพนิค

โรคแพนิคมักพบได้บ่อยในวัยรุ่นตอนปลายหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น สาเหตุของโรคแพนิคระบุได้ยากเช่นเดียวกับปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆโรคทางจิตเวช-7-กลุ่มที่ค แต่คาดว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแพนิค มีดังนี้

1. การถ่ายทอดทางพันธุกรรม

หากคนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคแพนิคหรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของการป่วยเป็นโรคแพนิคได้ โดยผู้ป่วยอาจได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อหรือแม่ หรือได้รับจากทั้งพ่อและแม่

2. ความผิดปกติของสมอง

โดยทั่วไปแล้ว สมองจะมีสารเคมีที่เรียกว่าสารสื่อประสาท หากสารสื่อประสาทภายในสมองไม่สมดุล อาจทำให้เกิดอาการแพนิคได้ ทั้งนี้ โรคแพนิคอาจเกิดจากการทำงานของสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการตอบสนองแบบสู้หรือหนีของร่างกาย (Fight or Flight) เนื่องจากหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตราย

3. โรคจิตเวช และเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ

ผู้ที่มีความเครียดรุนแรง มีโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคกลัว (Phobias) หรือโรคจิตเวชอื่น ๆ รวมถึงเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงที่ในชีวิต อาจส่งผลให้เกิดโรคแพนิคได้

ตัวอย่างเช่น การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ทำร้ายร่างกาย การหย่าร้าง การประสบอุบัติเหตุร้ายแรง การสูญเสียหรือพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้ป่วยจะรู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น บางคนอาจเกิดอาการแพนิคยาวนานเป็นปี จนนำไปสู่การป่วยเป็นโรคแพนิคในภายหลัง

4. สาเหตุอื่น

ผู้ที่มีแนวโน้มเครียดง่าย มีความคิดในแง่ลบ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้สารเสพติด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีนปริมาณมาก รวมทั้งสูบบุหรี่เป็นประจำ อาจเสี่ยงต่อป่วยเป็นโรคแพนิคได้

อาการของโรคแพนิค

อาการแพนิคจะรุนแรงกว่าความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลทั่วไป โดยเกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้ตลอดเวลา อาการแพนิคในแต่ละครั้งมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 10–20 นาที บางรายอาจเกิดอาการแพนิคนานเป็นชั่วโมง โดยผู้ป่วยโรคแพนิคจะเกิดอาการ ดังนี้

    หัวใจเต้นเร็ว
    หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจและสำลัก
    หวาดกลัวอย่างรุนแรงจนร่างกายขยับไม่ได้
    เวียนศีรษะ คลื่นไส้
    เหงื่อออก มือเท้าสั่น
    รู้สึกหอบและเจ็บหน้าอก
    รู้สึกร้อนวูบวาบ หรือหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
    เกิดอาการเหน็บคล้ายเข็มทิ่มที่นิ้วมือหรือเท้า
    วิตกกังวลหรือหวาดกลัวว่าจะตาย รวมทั้งรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้
    กังวลว่าจะมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นในอนาคต
    หวาดกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่หรือสถานการณ์อันตรายที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวในอดีต

อาการของโรคแพนิคที่ควรไปพบแพทย์

ผู้ที่เกิดอาการแพนิคควรพบแพทย์ทันที แม้อาการแพนิคอาจไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ผู้ที่เกิดอาการแพนิคมักรับมือกับอาการของตัวเองได้ยาก หากไม่ได้รับการรักษากับแพทย์อย่างเหมาะสมและต่อเนื่องให้หาย อาการแพนิคจะแย่ลงเรื่อย ๆ

การวินิจฉัยโรคแพนิค

เบื้องต้นแพทย์จะสอบถามประวัติของผู้ป่วยและตรวจร่างกาย โดยแพทย์จะตรวจเลือดเพื่อดูความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจระบบทางเดินหายใจ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกับโรคแพนิคหรือไม่

หากตรวจไม่พบ ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคแพนิค โดยแพทย์จะสอบถามอาการ ความรู้สึกหวาดกลัวหรือวิตกกังวล และสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ทำให้หวาดกลัวหรือตื่นตระหนก ผู้ป่วยควรอธิบายความรู้สึกและอาการที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องกดดันตัวเอง และพยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลายระหว่างที่พูดคุยกับแพทย์

ทั้งนี้ แพทย์อาจให้ทำแบบประเมินทางจิตวิทยา และสอบถามประวัติการใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อประกอบการวินิจฉัย ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เกิดอาการแพนิคไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคแพนิคทุกคนเสมอไป โดยแพทย์จะวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคแพนิคหากผู้ป่วยมีลักษณะ ดังนี้

    เกิดอาการแพนิคบ่อโดยหาสาเหตุไม่ได้ และมีอาการแพนิคอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 1 เดือนขึ้นไป
    รู้สึกกังวลว่าอาการแพนิคจะยิ่งรุนแรงขึ้น กลัวว่าไม่สามารถจัดการหรือควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ และมักเลี่ยงสถานที่ที่คิดว่าจะทำให้เกิดอันตราย
    อาการแพนิคที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการใช้สารเสพติด การใช้ยาบางอย่าง หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรคกลัวสังคม หรือโรคย้ำคิดย้ำทำ

การรักษาโรคแพนิค

ผู้ป่วยโรคแพนิคที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะมีอาการแพนิคน้อยลงและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การรักษาโรคแพนิคจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วย ประวัติการรักษา ความรุนแรงของโรค และความพร้อมในการเข้ารับการรักษากับนักจิตบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง วิธีรักษาโรคแพนิคมีรายละเอียด ดังนี้
1. จิตบำบัด

วิธีนี้ช่วยรักษาอาการแพนิคและโรคแพนิคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ป่วยจะเข้าใจอาการแพนิคและโรคแพนิคมากขึ้น รวมทั้งเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับอาการป่วยของตนเอง วิธีจิตบำบัดที่ใช้รักษาโรคแพนิค เช่น

การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT)
การบำบัดความคิดและพฤติกรรมจะปรับวิธีคิด พฤติกรรม และการตอบสนองต่อความรู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกที่เกิดขึ้น

นักจิตบำบัดจะสอบถามว่าผู้ป่วยตอบสนองและรู้สึกอย่างไรเมื่อเกิดอาการแพนิคเพื่อช่วยในการบำบัด โดยจะเริ่มบำบัดจากการปรับความคิดที่บิดเบือนไปจากความจริง เพื่อให้รับรู้ความเป็นจริงและมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่บวกเมื่อเกิดอาการแพนิคอย่างไม่มีสาเหตุ

การบำบัดด้วยการเผชิญหน้า (Exposure Therapy)
การบำบัดด้วยวิธีนี้เป็นเทคนิคการบำบัดที่คล้ายกับวิธีรักษาโรคกลัว ซึ่งให้ผู้ป่วยค่อย ๆ เผชิญหน้ากับความกลัวภายใต้การดูแลของนักจิตบำบัด เมื่อผู้ป่วยเริ่มคุ้นชินก็จะสามารถรับมือกับอาการแพนิคที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น การบำบัดนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสถานที่หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้ป่วยคาดว่าทำให้เกิดอาการแพนิคน้อยลงด้วย

นอกจากการเข้ารับการรักษาด้วยวิธีจิตบำบัด การฝึกลมหายใจและฝึกการคิดเชิงบวกก็ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและสามารถรับมือกับอาการแพนิคได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคแพนิคมักหายใจถี่กว่าปกติ หากผู้ป่วยฝึกหายใจช้า ๆ จะช่วยให้สามารถรับมือกับอาการแพนิคได้
2. การรักษาด้วยยา

ยาที่ใช้รักษาโรคแพนิคมีหลายกลุ่ม เช่น

กลุ่มยาต้านซึมเศร้า
ยากลุ่มนี้มักใช้รักษาอาการซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น

    ยาเอสเอสอาร์ไอ (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors: SSRI) ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับสารสื่อประสาทที่มีชื่อว่าเซโรโทนิน (Serotonin) เช่น ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) พาร็อกซิทีน (Paroxetine) และเซอร์ทราลีน (Sertraline)
    ยาเอสเอ็นอาร์ไอ (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitors: SNRIs) เช่น เวนลาฟาซีน (Venlafaxine) และดูล็อกซีทีน (Duloxetine)
    ยาไตรไซลิก (Tricylics Antidepressants) ใช้เมื่อผู้ป่วยที่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากได้รับยา SSRI เช่น อิมิพรามีน (Imipramine) และโคลมิพรามีน (Clomipramine)

ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines)
ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีนจัดเป็นยาระงับประสาท ซึ่งช่วยลดอาการแพนิคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อัลปราโซแลม (Alprazolam) และโคลนาซีแพม (Clonazepam) แต่ยากลุ่มนี้จะใช้รักษาในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการเสพติดได้

ยากันชัก
ยากันชัก เช่น พรีกาบาลิน (Pregabalin) โดยยาจะช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลให้ทุเลาลงได้

การใช้ยารักษาโรคแพนิคอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ ปวดหรือเวียนศีรษะ ท้องผูก ท้องเสีย ตามัว ปากแห้ง นอนหลับยาก มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง อารมณ์ทางเพศลดลง เป็นต้น จึงควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดใช้ยาเอง และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ หากผลข้างเคียงจากการใช้ยาไม่ทุเลาลง ควรปรึกษาแพทย์

ภาวะแทรกซ้อนของโรคแพนิค

โรคแพนิคเป็นโรคที่รักษาได้ โดยผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์และเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ป่วยโรคแพนิคจะหายได้หากได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นโรคดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา อาจได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพทางจิตอื่น ๆ ตามมา ดังนี้

โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia)

ผู้ป่วยโรคแพนิคอาจมีโรคกลัวที่ชุมชน ทำให้ผู้ป่วยกังวลว่าอาจเกิดอาการแพนิคเมื่อออกไปข้างนอก อายที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เป็นปกติ หรือกลัวว่าจะได้รับความช่วยเหลือไม่ทันหากอาการแพนิคกำเริบ จึงไม่กล้าเดินทางไปข้างนอกเพียงลำพัง

หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่าง ๆ

ผู้ป่วยอาจเลี่ยงหรือไม่ทำสิ่งต่าง ๆ หากสิ่งนั้นจะทำให้เกิดอาการแพนิค พฤติกรรมหลีกเลี่ยงนี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิต มีปัญหาในการเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้

โรคจิตเวช

ผู้ป่วยโรคแพนิคมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจิตเวชอื่นร่วมด้วย เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และอาจเกิดความคิดฆ่าตัวตาย
ปัญหาอื่น ๆ

ผู้ป่วยโรคแพนิคอาจเกิดความกังวลว่าตัวเองจะมีปัญหาสุขภาพมากกว่าคนทั่วไป และเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้สูง ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือรู้สึกกังวลมากขึ้น

การป้องกันโรคแพนิค

โรคแพนิคเป็นปัญหาสุขภาพทางจิตที่ป้องกันได้ยาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกิดอาการแพนิคหรือป่วยเป็นโรคนี้สามารถดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดมากขึ้น และเกิดอาการแพนิคน้อยลงได้ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม
    ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาหรือสมุนไพรรักษาอาการป่วยต่าง ๆ เนื่องจากอาจมีส่วนประกอบที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดอาการง่วงระหว่างวัน
    เข้ารับการรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฝึกรับมือกับความเครียด เช่น ฝึกหายใจลึก ๆ หรือเล่นโยคะ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
    ฝึกคิดหรือมองโลกในแง่บวก ลองนึกถึงสถานที่หรือเหตุการณ์ที่ทำให้จิตใจสงบหรือผ่อนคลาย และเพ่งความสนใจไปที่ความคิดดังกล่าว วิธีนี้จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย และช่วยปรับความคิดของผู้ป่วยที่มีต่อตนเองและสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้น
    เมื่อเกิดอาการแพนิคขึ้นมา ควรพยายามตั้งสติ พุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย รวมทั้งหายใจให้ช้าลง โดยนับหนึ่งถึงสามเมื่อหายใจเข้าหรือออกแต่ละครั้ง เนื่องจากการหายใจเร็วจะทำให้อาการแพนิคกำเริบมากขึ้น

15
มาแต่งคอนโดสไตล์มูจิ กับของตกแต่งบ้านด้วยงบ 4000

การแต่งคอนโดสไตล์มูจิ (Muji) ด้วยงบ 4,000 บาท ถือเป็นความท้าทายที่ทำได้จริงค่ะ! สไตล์มูจิเน้นความเรียบง่าย ฟังก์ชันการใช้งาน วัสดุธรรมชาติ และโทนสีอบอุ่นสบายตา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าอยู่ เราจะเน้นการเลือกของที่คุ้มค่าและสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในราคาประหยัดนะคะ

หลักการสำคัญของสไตล์มูจิ:

โทนสี: ขาว, ครีม, เบจ, เทาอ่อน, น้ำตาลอ่อน (สีไม้ธรรมชาติ)

วัสดุ: ไม้, ผ้าฝ้าย, ผ้าลินิน, เซรามิก, กระดาษ

ความเรียบง่าย: ไม่มีลวดลายซับซ้อน เน้นฟังก์ชัน

ความเป็นระเบียบ: จัดเก็บของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

แผนการแต่งคอนโดสไตล์มูจิด้วยงบ 4,000 บาท
เราจะแบ่งงบประมาณและเลือกไอเทมหลักๆ ที่สร้างผลกระทบต่อบรรยากาศห้องมากที่สุดค่ะ

งบประมาณโดยประมาณ:

ของใช้จำเป็น/จัดเก็บ: 1,000 - 1,500 บาท

สิ่งทอ/สร้างบรรยากาศ: 1,000 - 1,500 บาท

ของตกแต่ง/เพิ่มชีวิตชีวา: 500 - 1,000 บาท


ไอเทมแนะนำและงบประมาณ (สำหรับ 1 ห้อง เช่น ห้องนอน/ห้องนั่งเล่น)

1. ของใช้จำเป็นและอุปกรณ์จัดเก็บ (งบ 1,000 - 1,500 บาท)

กล่องเก็บของ/ตะกร้าสาน: (300 - 500 บาท)

เลือกกล่องพลาสติกสีขาวขุ่น หรือตะกร้าสานจากหวาย/เชือกคอตตอน ในโทนสีธรรมชาติ (เบจ/ครีม) สำหรับเก็บของจุกจิกบนชั้นวาง หรือในตู้เสื้อผ้า ช่วยให้ห้องดูเป็นระเบียบและสบายตา

แหล่งซื้อ: Daiso, Miniso, IKEA, HomePro, Shopee/Lazada

ชั้นวางของขนาดเล็ก/ชั้นวางหนังสือแบบมินิมอล: (500 - 1,000 บาท)

เลือกชั้นวางไม้สีอ่อน หรือชั้นเหล็กสีขาว/ดำ ที่มีดีไซน์เรียบง่าย สำหรับวางหนังสือ ต้นไม้เล็กๆ หรือของตกแต่ง

แหล่งซื้อ: IKEA, Index Living Mall (บางรุ่น), SB Design Square (บางรุ่น), Shopee/Lazada


2. สิ่งทอและผ้า (งบ 1,000 - 1,500 บาท)

หมอนอิง/ปลอกหมอนอิง: (300 - 600 บาท)

เลือกปลอกหมอนอิงผ้าฝ้าย ผ้าลินิน หรือผ้าแคนวาส ในโทนสีขาว ครีม เบจ หรือเทาอ่อน 2-3 ใบ วางบนโซฟาหรือเตียง

แหล่งซื้อ: IKEA, HomePro, Lotus's, Big C, Shopee/Lazada

ผ้าห่ม/ผ้าคลุมเตียงขนาดเล็ก: (500 - 900 บาท)

เลือกผ้าห่มผ้าฝ้ายถัก หรือผ้าคลุมเตียงสีพื้นเรียบๆ ในโทนสีธรรมชาติ (เบจ/เทาอ่อน) ช่วยเพิ่มความอบอุ่นและเท็กซ์เจอร์ให้กับห้อง

แหล่งซื้อ: IKEA, HomePro, Lotus's, Big C, Shopee/Lazada

ผ้าม่านโปร่งแสง: (ถ้ายังไม่มีและจำเป็น) (อาจจะเกินงบถ้าซื้อใหม่ทั้งชุด)

ถ้ามีงบเหลือ ลองหาผ้าม่านโปร่งแสงสีขาว หรือสีครีม ช่วยให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องได้ดี สร้างบรรยากาศอบอุ่น

แหล่งซื้อ: IKEA, HomePro, Shopee/Lazada


3. ของตกแต่งและเพิ่มชีวิตชีวา (งบ 500 - 1,000 บาท)

ต้นไม้ประดับขนาดเล็ก: (100 - 300 บาท)

เลือกต้นไม้ฟอกอากาศเล็กๆ เช่น พลูด่าง, ลิ้นมังกรแคระ, หรือแคคตัส/ไม้อวบน้ำ พร้อมกระถางเซรามิกสีขาว/เทา หรือกระถางดินเผา

แหล่งซื้อ: ตลาดต้นไม้, ร้านขายต้นไม้ทั่วไป, IKEA, HomePro

แจกัน/ขวดแก้วใส: (100 - 200 บาท)

สำหรับปักดอกไม้แห้ง กิ่งไม้เล็กๆ หรือวางตกแต่งเปล่าๆ

แหล่งซื้อ: Daiso, Miniso, IKEA, ร้านขายของแต่งบ้านทั่วไป

เทียนหอม/ก้านไม้หอมกลิ่นอ่อนๆ: (200 - 500 บาท)

เลือกกลิ่นแนวธรรมชาติ เช่น ไม้จันทน์, คอตตอน, หรือกลิ่นสะอาดๆ ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย

แหล่งซื้อ: Bath & Body Works (ช่วงโปร), Miniso, IKEA, Shopee/Lazada

กรอบรูปไม้/สีขาว: (100 - 200 บาท)

ใส่รูปภาพความทรงจำดีๆ หรือภาพศิลปะแนว Minimalist ขนาดเล็ก วางบนชั้นวางหรือโต๊ะ

แหล่งซื้อ: IKEA, Daiso, Miniso, B2S


สรุปและเคล็ดลับเพิ่มเติม:

เน้นฟังก์ชัน: ทุกชิ้นที่ซื้อควรมีประโยชน์ใช้สอย ไม่ใช่แค่สวยงาม

โทนสี: ยึดมั่นในโทนสีขาว ครีม เบจ เทาอ่อน และสีไม้ธรรมชาติ

ความเรียบง่าย: หลีกเลี่ยงลวดลายที่ฉูดฉาดหรือซับซ้อน

จัดระเบียบ: สไตล์มูจิจะดูดีที่สุดเมื่อห้องเป็นระเบียบเรียบร้อย ของทุกชิ้นมีที่ทางของมัน

DIY เล็กๆ น้อยๆ: หากมีของเก่าที่สามารถนำมาทาสีขาว/ครีม หรือหุ้มผ้าใหม่ได้ ก็จะช่วยประหยัดงบ

แหล่งซื้อ: IKEA, Daiso, Miniso, Muji (บางชิ้นที่ลดราคา), HomePro, Lotus's, Big C, และร้านค้าออนไลน์อย่าง Shopee/Lazada มีตัวเลือกเยอะมากในราคาย่อมเยา

ด้วยงบ 4,000 บาท คุณสามารถเปลี่ยนคอนโดให้มีกลิ่นอายของสไตล์มูจิที่อบอุ่น เรียบง่าย และน่าอยู่ได้อย่างแน่นอนค่ะ!








หน้า: [1] 2 3 ... 35
















































































กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า